ตรัง – ต่อยอดผลักดันกาแฟชุมชนและชาดอกกาแฟสู่องค์กรขนาดใหญ่ ตลาดออนไลน์ทั้งในและต่างประเทศ ยอดขายพุ่งเดือนละกว่า 50,000 บาท ยกระดับฝีมือกลุ่มวิสาหกิจชุมชนของชาวบ้าน ไม่ต้องมีทุนมาก แต่สามารถพัฒนาฝีมือการค้าได้ โดยมีหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องช่วยผลักดัน ส่งเสริมและสนับสนุน
ที่กลุ่มวิสาหกิจชุมชนกาแฟรัษฎา และแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร หมู่ 8 บ้านหนองครก ต.หนองปรือ อ.รัษฎา จ.ตรัง นำโดย นางกนกวรรณ คำเนตร และครอบครัว ซึ่งเดิมประกอบอาชีพทำสวนยางพารา และสวนปาล์มน้ำมัน บนเนื้อที่ 8 ไร่ แต่ได้ตัดสินใจโค่นยางทิ้งทั้งหมด หันมาทำการเกษตรแบบผสมผสานแทน โดยเฉพาะปลูกพืชเศรษฐกิจที่สำคัญคือ “กาแฟพันธุ์โรบัสต้า” ขายเมล็ดกาแฟคั่วมืออย่างเดียว แต่ล่าสุด ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ จากการพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ทำเป็น “ กาแฟดริปคั่วบด” และ “ ชาดอกกาแฟ” ซึ่งเป็นชาประเภทดอกไม้ และส่งขายรุกตลาดเข้าสู่องค์กรขนาดใหญ่ในประเทศ ที่มีพนักงานจำนวนมาก รวมทั้งเข้าสู่ตลาดออนไลน์ร้านสะดวกซื้อ ตอบสนองการค้ายุคใหม่ เพียงแค่ใช้มือกดสั่งซื้อทางมือถือ และรุกตลาดต่างประเทศ โดยมีหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ช่วยผลักดัน ส่งเสริมและสนับสนุน ยกระดับฝีมือกลุ่มวิสาหกิจชุมชนของชาวบ้าน ไม่ต้องมีทุนมาก แต่สามารถพัฒนาฝีมือการค้าได้ เพียงแต่ศึกษาความต้องการของตลาด และพัฒนาไปสู่เป้าหมาย
ทั้งนี้ นางกนกวรรณ คำเนตร ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกาแฟรัษฎา ฯ นำผู้สื่อข่าวดูสภาพพื้นที่การเก็บดอกกาแฟ เพื่อนำมาทำเป็นชา ดอกกาแฟ ซึ่งจะต้องเก็บให้ได้ตามวันและเวลาที่เหมาะสม ซึ่งจะต้องคอยสังเกตดอกเมื่อมีผึ้ง หรือตัวชันโรง ที่เลี้ยงเอาไว้ในสวนมาผสมเกสรในภาคเช้า ภาคบ่ายจะต้องเร่งเก็บดอกที่สลัดก้านดอก และจะต้องเป็นช่วงที่ไม่มีฝนตกล้างดอกด้วย เพราะหากมีฝนตกลงมาล้างดอกจะต้องปล่อยทิ้งทั้งหมด เนื่องจากน้ำฝนได้ชะล้างเอาความหอมหวานของดอกกาแฟออกไปแล้ว นำมาทำชาดอกกาแฟไม่ได้แล้ว จึงจะได้ชาดอกกาแฟที่หอมกรุ่นอร่อย โดยกลิ่นหอมอ่อนๆ เหมือนดอกมะลิ
ข่าวน่าสนใจ:
- ตรัง เปิดความสวยงาม "เขาแบนะ-อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม" เส้นทางศึกษาธรรมชาติเลียบภูเขาชมทะเลงาม
- ตรัง จี้ซ่อมด่วนก่อนปิดท่าเรือปากเมงทรุด กระเบื้องร่วง-โป๊ะพัง-รังแตนอาละวาด หวั่นนักท่องเที่ยวอันตรายถึงชีวิต
- ผู้ว่าตรังสั่งซ่อมด่วนหลังคาท่าเรือปากเมง หวั่นอันตรายนทท. กระทบภาพลักษณ์จว. ลั่นพร้อมออกเงินส่วนตัว 2.3 หมื่นค่าวัสดุ…
เมล็ดกาแฟ ซึ่งส่วนหนึ่งเก็บได้จากในแปลงที่มีผลผลิตตลอดทั้งปี และรวบรวมซื้อจากสมาชิกของกลุ่ม เพื่อให้เพียงพอต่อการป้อนตลาด นำมาเข้าตู้อบพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งมีทั้งหมด 3 ตู้ เพื่อรักษาคุณภาพทั้งของเมล็ดกาแฟ และชาดอกกาแฟให้ได้ตามที่มีการศึกษา โดยมหาวิทยาลัยที่มาช่วยถ่ายทอดองค์ความรู้ จากนั้นนำเมล็ดกาแฟไปตำด้วยครกตำข้าวตามแบบภูมิปัญญาท้องถิ่น และนำไปคั่วมือในกระทะ ให้ได้ความเข้มข้นของกาแฟตามสูตร ทั้งสูตรอ่อน ปานกลาง และกาแฟเข้มข้น จากนั้นชั่งน้ำหนักบรรจุไว้ในซอง เมื่อลูกค้าสั่งซื้อก็นำมาบดใหม่ๆและบรรจุใส่ซองส่งให้ลูกค้า ลูกค้าก็จะต้องเอาไปดริปด้วยตนเอง จะได้กาแฟที่ใหม่ หอมกรุ่น แตกต่างจากการบดทิ้งไว้
นางกนกวรรณ คำเนตร ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกาแฟรัษฎา ฯ กล่าวว่า การยกระดับทำกาแฟดริปคั่วบด และชาดอกกาแฟ รวมทั้งผลิตภัณฑ์ สบู่กาแฟ ได้รับใบรับรองเมดอินไทยแลนด์ จากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศ ทั้งนี้ นับจากวิกฤตโควิด19 ทางกลุ่มได้พลิกวิกฤตเป็นโอกาส ด้วยการเข้าร่วมอบรมกับโครงการภาครัฐ และ เอกชน เพื่อรับการถ่ายทอดความรู้ การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ การตลาด เพิ่มช่องทางขายออนไลน์ เพื่อจะได้กระจายสินค้าออกไปกว้างขึ้น โดยทุกผลิตภัณฑ์ทั้งกาแฟดริปคั่วบด ชาดอกกาแฟ และ สบู่ จะขายในตลาดออนไลน์ เช่น เว็บไซส์ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์การเกษตร , Shopee , Lazada , แอพพลิเคชั่นซีเว่นอีเลฟเว่น นอกจากนี้ได้เข้าร่วมโครงการกับบริษัท SCG และร่วมโครงการกับปตท. “โครงการชุมชนยิ้มได้” เมื่อปีพ.ศ.2563 ซึ่งเป็นการสนับสนุนและหาช่องทางการตลาดให้กว้างขึ้นในองค์กรขนาดใหญ่ ที่มีพนักงานทั่วประเทศจำนวนมาก และการส่งออกไปขายต่างประเทศ โดยการสนับสนุนจากกรมการค้าระหว่างประเทศ ได้เข้าไปทำตลาดที่ประเทศดูไบ เซี่ยงไฮ้ เนเธอร์แลนด์ และเตรียมไปทดลองตลาดที่ประเทศมาเลเซีย โดยกาแฟดริปคั่วบดจะมีทั้งหมด 3 ระดับ ได้แก่ กาแฟดริปคั่วบด ระดับคั่วอ่อน (LIGHT), กาแฟดริปคั่วบด ระดับคั่วกลาง (MEDIUM) และกาแฟดริปคั่วบด ระดับ คั่วเข้ม ( DARK) ราคาขายปลีกถุงละ 120 บาท ราคาขายส่งถุงละ 100 บาท ต่อซองบรรจุ 250 กรัม ส่วนชาดอกกาแฟที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ไม่มีคาเฟอีน เป็นชาดอกไม้ โดยดอกกาแฟต่อต้นจะได้ประมาณ 2-3 กิโลกรัมต่อปี และเมื่อนำไปตากแห้งแล้วจะเหลือเพียงแค่ประมาณ 10% เท่านั้น ส่งขายในราคากิโลกรัมละ 7,000 บาท ส่วนราคาขายปลีกกล่องละ 120 บาท ราคาส่งกล่องละ 100 บาท สามารถนำไปใส่ถ้วยชงดื่ม เพื่อสุขภาพไม่ต้องเติมน้ำตาลแต่อย่างใด และสบู่กาแฟ ราคาขาย 3 ก้อน 100 บาท โดยยอดขายก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากในปี 2563 ยอดขายอยู่ที่ 15,000 – 25,000 บาทต่อเดือน ในปี 2564 ยอดขายพุ่งสูงขึ้นเป็น 50,000 บาทต่อเดือน ทั้งนี้ การดำเนินการของกลุ่มจะเป็นลักษณะการรวบรวมผลผลิตจากสมาชิกผู้ปลูกกาแฟในจังหวัดตรัง โดยกลุ่มจะเข้าไปตรวจแปลงปลูกของสมาชิกทุกแปลงโดยนักวิชาการ กรมส่งเสริมการเกษตร จะต้องเป็นแปลงที่ตรงมาตรฐานเกษตรปลอดภัย โดยทางกลุ่มจะรวบรวมผลผลิตมาแปรรูป ซึ่งกลุ่มจะดูแลตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ และได้รับการรับรองสินค้าเกษตร GMP ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามได้ทางเฟซบุ๊ก “Ratsada Coffee” หรือโทร.093 – 7574031
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: