ตรัง เปิดรายละเอียด โอไมครอนสายพันธุ์ใหม่ BA.2.75 รายแรกของประเทศที่ตรัง ผู้ว่าฯ เผย รับเชื้อจากต่างชาติร่วมประชุมโรตารี่ที่ภูเก็ต แต่อาการไม่รุนแรง แค่ไอ-เจ็บคอ หายป่วยกลับบ้านแล้ว ไม่แพร่ต่อใคร เผย ผู้ร่วมประชุมติดโควิดกว่า 50 ราย แต่ไม่ระบุสายพันธุ์
นายขจรศักดิ์ เจริญโสภา ผู้ว่าราชการจังหวัด กล่าวว่า หลังมีข่าวจากส่วนกลางว่าพบผู้ป่วยติดเชื้อโควิด -19 สายพันธุ์โอไมครอน BA.2.75 รายแรกในประเทศไทยที่จ.ตรัง จากการตรวจสอบพบว่า ผู้ป่วยรายดังกล่าว เป็นเพศชาย อายุ 53 ปี ไปทำงานอยู่ที่ จ.สุราษฎร์ธานี แต่ภูมิลำเนาอยู่ จ.ตรัง จากการสอบสวนโรค ทราบว่าประมาณวันที่ 23 -25 มิถุนายน 2565 ได้เดินทางไปประชุมสโมสรโรตารี่ที่ อ.ป่าตอง จ.ภูเก็ต ร่วมกับผู้เข้าร่วมประชุมอื่นๆรวมประมาณ 1,000 คนโดยมีชาวต่างชาติจำนวนมากร่วมประชุมด้วย คาดว่ารับเชื้อจากการประชุมดังกล่าว หลังกลับมาก็พบว่ามีอาการไอ เจ็บคอ แต่ตัวไม่ร้อน จากนั้นเมื่อตรวจเบื้องต้นพบว่าเป็นบวก จึงเดินทางไปตรวจซ้ำที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง เนื่องจากผู้ป่วยมีประกันชีวิต ผลการตรวจด้วยวิธี RT-PCR พบผลเป็นบวก ทางโรงพยาบาลเอกชนได้ส่งตัวอย่างไปตรวจซ้ำที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ จ.ตรัง และศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ตรังได้ส่งไปตรวจซ้ำที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ผลตรวจอย่างละเอียดเพิ่งจะออกมา ยืนยันผลว่า เป็นสายพันธุ์โอไมครอน BA.2.75 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ใหม่ที่พบในประเทศไทยเป็นรายแรก
ซึ่งขณะที่มีการรายงานผลยืนยันนี้นั้น ปรากฏว่าผู้ป่วยรายนี้ได้หายออกจากโรงพยาบาลไปเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ก็ไม่มีอาการอะไร และเบื้องต้นไม่ได้รับแจ้งว่ามีผู้ใกล้ชิดหรือคนในครอบครัวคนใดติดเพิ่ม มีผลยืนยันจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เพียงรายเดียวนี้เท่านั้น แต่ภาพรวมคนที่ไปร่วมงานประชุมเบื้องต้นทราบว่าติดเชื้อแล้วประมาณ 50 ราย ส่วนผู้ป่วยชาวตรัง อาการไม่รุนแรงเพียงเจ็บคอ และมีเสมหะ ไม่มีไข้ และไม่มีอาการข้างเคียงอื่นๆ และผู้ป่วยได้รับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 แล้ว เชื่อมีภูมิคุ้มกันที่ดี ส่วนภาพรวมการติดเชื้อในจ.ตรัง ขณะนี้ลดลงอย่างมาก แต่ละวันยังมีผู้ป่วยที่ยืนยันผลด้วยวิธีการตรวจด้วย ATK วันละประมาณ 20-30 รายเท่านั้น แต่ทางจังหวัดยังต้องรณรงค์อย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่องการป้องกันตัวเองด้วยสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงที่มีคนจำนวนมาก หรือว่าการจัดอีเว้นท์ต่างๆ ยังต้องกำชับมาตรการป้องกันคือ การสวมใส่แมสป้องกัน และการจะต้องเร่งรณรงค์การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นต่อไป โดยเฉพาะในกลุ่ม 608 เนื่องจากขณะนี้ตัวเลขการฉีดวัคซีนยังน้อยเพียงประมาณ 20% เท่านั้น จะเร่งรณรงค์กระตุ้นผ่านกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และอสม.ให้ประชาชนเร่งฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเข็ม 3 ต่อไป โดยเร่งทำการสำรวจทั้งในกลุ่มข้าราชการ และประชาชน โดยยืนยันผลทางการแพทย์ว่าจะสามารถลดความรุนแรงได้ หากได้รับเชื้อ ส่วนเด็กขณะนี้ภาพรวมฉีดไปแล้วประมาณ 80 % และยังขอความร่วมมือสถานศึกษาให้นร.ได้ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น รวมทั้งเรือนจำ และหน่วยงานที่มีคนจำนวนมาก ก็จะต้องเร่งรณรงค์ให้มีการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นต่อไป
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: