X

“ครอบครัวแม่ค้า”โดนลิงก์มิจฉาชีพอ้างเป็นสรรพากร ดูดเงิน 1.4 ล. เตรียมตั้งทนายฟ้องธนาคารเรียกเงินคืน

ตรัง เจ้าของเงินกว่า 1.4 ล้านบาท หายไปจากบัญชีน้ำตาตก ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาห้วยยอด ผู้รับฝากเงินไม่เหลียวแล เดินทางเข้าพบผู้จัดการก็หลบหน้า ยืนยันไม่ได้ทำธุรกรรมใด ๆ ผ่านลิงก์ที่มิจฉาชีพอ้างเป็นลิงก์กรมสรรพากร เพราะขณะเงินถูกโอนไปจากธนาคารเป็นจังหวะที่โทรศัพท์ค้าง ทำอะไรไม่ได้ และไม่ได้ทำธุรกรรมใด ๆ ผ่านแอพฯธนาคารที่รับฝากเงิน แต่ระบบรักษาความปลอดภัยเงินของธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกรุงไทยไม่ดี ทำให้เงินถูกดูดไปได้ง่ายดาย ทำให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อ ด้านทนายความยืนยัน เงินดังกล่าวเป็นเงินของธนาคาร ไม่ใช่เงินลูกค้า ลูกค้าไม่ได้เป็นคนเบิก ดังนั้น ธนาคารจะต้องรับผิดชอบ เปรียบเสมือนคนไปเที่ยวห้างสรรพสินค้า แต่รถหายจากลานจอดรถ ทางห้างต้องรับผิดชอบ ทั้งนี้ ในวันจันทร์เตรียมเดินทางเข้าพบผู้จัดการธนาคารอีกครั้ง หากธนาคารไม่รับผิดชอบ เตรียมฟ้องร้องดำเนินคดีทางแพ่งเรียกเงินคืนจากธนาคาร พร้อมแนะนำปชช.ที่ตกเป็นเหยื่อในลักษณะเดียวกัน เข้าแจ้งความเอาผิดทางแพ่งเรียกเงินคืนจากธนาคาร ที่ดูแลรักษาความปลอดภัยเงินของลูกค้าไม่ได้

จากกรณีที่นางนิส ไทรงาม อายุ 63 ปี ชาวอ.ห้วยยอด จ.ตรัง พร้อมด้วย น.ส.นิดา ไทรงาม อายุ 35 ปี ซึ่งเป็นลูกสาว และนางสาวศิริวรรณ ไทรงาม อายุ 36 ปี ซึ่งเป็นลูกสะใภ้ ร้องเรียนผู้สื่อข่าวว่าถูกมิจฉาชีพโทรศัพท์เข้ามาอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรแจ้งเรื่องค้างภาษี พร้อมแชทไลน์ส่งลิ้งค์อ้างเป็นลิ้งค์เว็บกรมสรรพากรเข้ามา ให้น.ส.นิดา กดลิ้งค์เข้าไปตรวจสอบว่ามีการค้างภาษีหรือไม่ ซึ่งขณะนี้อยู่ในช่วงที่จะต้องยื่นจ่ายภาษี  แต่เมื่อกดเข้าไปแล้วโทรศัพท์ค้างขึ้นหน้าจอเป็นสีฟ้า มีโลโก้กรมสรรพากร พร้อมข้อความว่า “668325 อยู่ระหว่างการทำการตรวจสอบชื่อนาม-สกุลห้ามใช้งานโทรศัพท์” และโทรศัพท์ไม่สามารถทำอะไรได้อีก จากนั้นปรากฎว่า ในเวลาและนาทีเดียวกันกับที่โทรศัพท์ค้าง ทำธุรกรรมใด ๆ ไม่ได้อีกเลย ก็ปรากฎข้อความเงินถูกโอนออกจากบัญชี ธนาคารไทยพาณิชย์ จำนวน 1,458,000 บาท และอีกแอพพลิเคชั่นธนาคารกรุงไทย จำนวน 10,000 บาท ซึ่งเงินที่โดนดูดไปนั้น ทั้ง 2 บัญชี ล้วนใช้แอพพลิเคชั่นของธนาคารผู้รับฝากเงินกับโทรศัพท์ทั้ง 2 ธนาคาร รีบประสานติดต่อเจ้าหน้าที่ธนาคาร และเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ห้วยยอด ทราบเบื้องต้นว่าเงินถูกโอนเข้าบัญชีชื่อ น.ส.สุภาพร กุลอามาตย์ ทางธนาคารได้ทำการอายัดบัญชีแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่ทันการณ์ เงินถูกโอนต่อไปยังบัญชีอื่น ๆ อย่างรวดเร็ว และผู้เสียหายเดินทางเข้าพบผู้จัดการธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาห้วยยอด แต่ผู้จัดการธนาคารหลบหน้า ไม่ยอมออกมาพบหรือแสดงความรับผิดชอบ

ความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทางครอบครัวผู้เสียหาย ทั้ง 3 คนนั้น ประกอบด้วยนางนิส ไทรงาม อายุ 63 ปี ชาวอ.ห้วยยอด จ.ตรัง พร้อมด้วย น.ส.นิดา ไทรงาม อายุ 35 ปี ซึ่งเป็นลูกสาว และนางสาวศิริวรรณ ไทรงาม อายุ 36 ปี ซึ่งเป็นลูกสะใภ้ ล่าสุด นัดพบกับนายไกรสร ชูเพชร ทนายความ และนายยุทธนา วิมลเมือง ปปช.ตรัง เพื่อให้ช่วยเหลือในการติดตามเงินกลับคืนมา โดยบอกว่า ล่าสุด ยังไม่มีความคืบหน้าใด ๆ จากธนาคาร และยังไม่มีความหวังว่าจะได้เงินคืน จึงปรึกษากับทนายความ ทั้งนี้ หลังเกิดเรื่องและเป็นข่าวออกไป ทางตำรวจก็ได้เรียกตัวไปสอบปากคำแล้ว แต่ยังไม่เสร็จสิ้น และมีตำรวจชุดสืบสวนภูธรจังหวัดตรังเข้าไปสอบถามข้อมูล นอกจากนั้นได้เดินทางไปที่ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาห้วยยอด เพื่อขอพบกับผู้จัดการธนาคาร ไปครั้งแรกเจ้าหน้าที่บอกว่าผู้จัดการพักเที่ยง จึงไม่ได้พบ พอตอนบ่าย 2 ทางพนักงานโทรศัพท์มาแจ้งว่า ผู้จัดการมาแล้วให้เข้ามาได้ แต่พอเข้าไปปรากฏว่า ไม่ได้พบผู้จัดการอีก ทำให้ไปเสียเวลาเปล่า ทางเจ้าหน้าที่ให้โทรศัพท์ไปที่สายด่วนของธนาคาร แจ้งปัญหา แต่ไม่คืบหน้า ซึ่งมองว่าทางธนาคารไม่คิดจะช่วยเหลือหรือเป็นทุกข์ร้อนแทนลูกค้าเลย ทั้ง ๆ ที่ทางตนเองไม่ได้โอนเงินให้บุคคลอื่นไป แต่ทางธนาคารไม่มีระบบรักษาความเปลอดภัยที่ดี ทางธนาคารควรจะรับผิดชอบ


ด้านนางนิส ไทรงาม อายุ 63 ปี แม่บอกว่า เงินทั้งหมดกว่า 1.4 ล้านบาทเศษนั้น เป็นเงินตนเองที่จะต้องหมุนเวียนซื้อหมูจำหน่าย ประมาณ 2 แสนบาท ส่วนที่เหลือเป็นของลูกสาว ที่เก็บเงินไว้หวังจะเปิดร้านกิ๊ฟช๊อปอยู่กับบ้าน บ้านก็ทำเสร็จแล้ว ซื้อชั้นวางของมาเตรียมไว้แล้ว แต่จากนี้ไปเงินหมุนเวียนซื้อหมูก็ไม่มี ต้องเอาหมูมาก่อน จ่ายให้ทีหลัง  ซึ่งเจ้าของหมูก็ยินยอม ไม่มีเงินลงทุนซื้อของใส่ร้าน ธนาคารควรจะรับผิดชอบเงินทั้งหมด เพราะไม่ได้ทำธุรกรรมใด ๆผ่านแอพธนาคาร และขณะนี้ครอบครัวเดือดร้อนหนัก

 

ส่วนทางด้านนายไกรสร ชูเพชร ทนายความ บอกว่า หลังจากรับฟังปัญหาแล้ว คิดว่าเงินจำนวนดังกล่าวที่ออกไปจากบัญชีของนางนางนิส ไทรงาม นั้น ไม่ใช่เงินของลูกค้า แต่เป็นของธนาคาร เพราะทางลูกค้าไม่ได้เบิกถอนเงินเอง และยังไม่ได้ทำธุรกรรมใด ๆ ผ่านลิงก์ที่ถูกส่งมา โดยหลักฐาน คือ หน้าจอมือถือค้าง ทำธุรกรรมใด ๆ ไม่ได้ ช่วงเวลาเดียวกับที่เงินถูกดูดผ่านแอพธนาคารที่ผูกไว้ โดยเป็นการโจรกรรมเงินผ่านลิงก์ปลอมที่อ้างว่าเป็นของกรมสรรพากร ซึ่งหากธนาคารมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีพอ ใครก็ไม่สามารถจะเจาะข้อมูลของธนาคารและดูดเงินไปได้ เงินนั้นจึงเป็นเงินของธนาคาร ไม่ใช่เงินลูกค้า เพราะลูกค้าตัวจริงไม่ได้เบิกถอนเอง จึงเรียกร้องผู้เกี่ยวข้องเร่งหาทางป้องกันการทำธุรกรรมทุกประเภทผ่านระบบอิเลกทรอนิกส์ เพราะตอนนี้เป็นปัจจัยหลักในการใช้ชีวิต ต้องมีระบบป้องกันปราบปรามป้องกันความเดือดร้อน โดยหลังจากนี้ หากคุยกับธนาคารแล้วธนาคารไม่รับผิดชอบ ตนเองจะแจ้งความดำเนินคดีทางแพ่งกับธนาคาร เพราะเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่ง มาตรา 672 ระบุไว้ชัดเจน ถ้าเราไม่ได้ทำนิติกรรมเบิกถอนเงินจากแบงค์ เท่ากับแบงค์นำเงินไปใช้ แบงค์ต้องรับผิดชอบ และแบงค์ก็ต้องไปดำเนินการกับคนที่ถอนไป และดำเนินคดีอาญาเอาเอง

ทางด้านนายยุทธนา วิมลเมือง เจ้าหน้าที่ ปปช.ตรัง กล่าวเรียกร้องผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ลงมาดูแลเรื่องนี้ให้ชาวบ้าน เพราะข้อเท็จจริงที่พบคือ ประชาชนไม่ได้ทำนิติกรรมในการโอน ถอน หรือเอาเงินออกเอง ดังนั้น ธนาคารเองในเมื่อประชาชนไม่ได้เป็นคนโอน ถอน ก็ถือว่าธนาคารไม่มีสิทธิมาหักเงินของลูกค้า อยากให้ทางธนาคารรับผิดชอบในทันที อย่าให้ประชาชนต้องไปฟ้องร้องดำเนินคดีกับธนาคาร เพราะต้องใช้ระยะเวลายาวนาน ซึ่งชาวบ้านต้องกินต้องใช้มีหนี้สินภาระต้องรับผิดชอบ อยากให้ผบ.ตร.ลงมาดูแลใกล้ชิด เพราะยุคปัจจุบันมีประชาชนตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก และธนาคารเป็นผู้เสนอช่องทางแอปพลิเคชั่นให้ประชาชนใช้ ไม่ต้องเดินทางไปธนาคาร ไม่ต้องใช้บัตรประชาชน แต่ระบบรักษาความปลอดภัยเงินไม่มี ธนาคารจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ


ขณะที่ทางด้าน นายชัยพร ชูเสน ทนายความชาว จ.ตรัง (เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว) ให้ความเห็นกรณีเพื่อนบ้านครอบครัวดังกล่าวว่า เรื่องนี้ทางธนาคารไทยพาณิชย์และธนาคารกรุงไทย จะต้องรับผิดชอบเงินจำนวนดังกล่าวทั้งหมด ไม่ใช้ผลักปัญหาไปให้กับลูกค้าเจ้าของเงิน เพราะเงินอยู่ในธนาคารๆ ซึ่งรับฝากเงินของลูกค้ามีหน้าที่ต้องดูแลเงินของลูกค้าให้มีความปลอดภัย ซึ่งกรณีนี้ลูกค้าไม่ได้เป็นผู้ถอน แต่กลายเป็นแก็งค์มิจฉาชีพเป็นผู้ถอน ดังนั้น ธนาคารต้องเป็นผู้รับผิดชอบเอง ขณะที่ปชช.ก็ต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้แอพพลิเคชั่น เพราะการใช้วิธีผูกบัญชีเงินฝากกับธนาคารขณะนี้มีความเสี่ยงสูงมาก   ธนาคารเองเมื่อส่งเสริมให้ลูกค้าให้ใช้แอปพลิเคชั่นก็ต้องมีระบบป้องกันที่ดี เพื่อรักษาเงินของลูกค้าให้มีความปลอดภัย แต่เมื่อธนาคารสร้างระบบขึ้นมาโดยไม่มีระบบรักษาความปลอดภัยเงินฝากที่ดีพอ จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายกับลูกค้า ก็จะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ เปรียบเสมือนคนไปห้างสรรพสินค้า เมื่อรถหาย ทางห้างสรรพสินค้าต้องรับผิดชอบ ให้ธนาคารไปติดตามคืนหรือดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญาเอากับแก็งค์มิจฉาชีพเหล่านั้น พร้อมแนะนำปชช.หากธนาคารเจ้าของบัญชีไม่รับผิดชอบ เจ้าของเงินสามารถแจ้งความดำเนินคดีทางแพ่งกับธนาคาร เพื่อเรียกเงินส่วนที่หายไปกลับคืนได้ เพราะธนาคารมีหน้าที่ดูแลเงินในธนาคาร

แฟ้มภาพ

ถูกใจข่าวนี้ไหม?

คลิกที่ดาวเพื่อโหวต

ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต:

ติดตามข่าวสารผ่าน Line 77 ข่าวเด็ด กดปุ่มเพิ่มเพื่อนเลย

เพิ่มเพื่อน