X

ตรัง ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง 5 จำเลย คดีสังหารเสี่ยอู่ซ่อมรถ ลูกสาวร่ำไห้พ่อถูกยิงแต่ไม่มีคนร้าย

ตรัง ครอบครัวร่ำไห้ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนยกฟ้องจำเลยทั้ง 5 คน คดีสังหารโหดเจ้าของอู่ซ่อมรถ อ.รัษฎา จ.ตรัง เศร้าใจพ่อตายทั้งคน มีภาพวงจรปิดขณะคนร้าย 2 คน ร่วมกันลงมือก่อเหตุ แต่คดีกลับไม่มีคนทำให้ตาย แม้ทำใจรับสภาพ เชื่อศาลตัดสินไปตามพยานหลักฐานที่ถึงมือศาล แต่หมดศรัทธากระบวนยุติธรรมไทยก่อนถึงมือศาล เพราะคนตาย ไม่ได้ตายเอง ไม่ได้อยู่ ๆ หยุดหายใจไปเอง แต่มีการฆาตกรรมกันเกิดขึ้น แต่คนผิดไม่ได้รับโทษ แล้วใครเป็นคนผิด ทุกวันนี้ยังหาไม่ได้เลย พวกหนูเป็นลูกอยากให้พ่อได้รับความยุติธรรม.

เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2566 เวลาประมาณ 09.00 น.ที่ผ่านมา ที่ศาลจังหวัดตรัง ศาลอุทธรณ์ได้ออกนั่งบัลลังก์พิพากษาคดีนายจิราวุธ  อายุ 55 ปี พร้อมพวกรวม 5 คน ซึ่งตกเป็นจำเลยร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และพกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยตกเป็นผู้ต้องหาร่วมกันใช้อาวุธปืนสงครามยิงถล่มนายธวัชชัย  อายุ 53 ปี เจ้าของอู่ซ่อมรถในพื้นที่ อ.รัษฎา จ.ตรัง จนเป็นเหตุให้นายธวัชชัยเสียชีวิตคารถ ขณะที่ภรรยาและลูกน้องได้รับบาดเจ็บสาหัส โดยสาเหตุเกิดจากปัญหาขัดแย้งส่วนตัวกับนายจิราวุธ ซึ่งเป็นเพื่อนรักกันมาก่อน เหตุเกิดที่หน้าบ้านพัก ซึ่งเปิดเป็นอู่ซ่อมรถ เลขที่ 152 หมู่ 1 ต.คลองปาง อ.รัษฎา จ.ตรัง เมื่อคืนวันที่ 17 ธันวาคม 2562 ซึ่งผ่านมาแล้วเกือบ 4 ปี โดยหลังเกิดเหตุศาลจังหวัดตรังได้ออกหมายจับผู้ต้องหารวม 8 คน แต่จับกุมได้จำนวน 7 คน ส่วนอีก 1 คน หลบหนีไปได้ แต่อัยการพิจารณาสั่งฟ้องทั้งหมดรวม 5 คน

โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2565 ศาลชั้นต้นได้พิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งหมด และปรากฏว่าอัยการจังหวัดมีมติไม่อุทธรณ์ ทำให้ทางครอบครัวต้องยื่นอุทธรณ์ด้วยตนเอง และในวันนี้เป็นวันที่ศาลอุทธรณ์นัดอ่านคำพิพากษา โดยทางครอบครัวผู้ตายมีลูกสาวทั้ง 2 คน และลูกเขยเดินทางมารับฟังคำพิพากษา ขณะที่จำเลยทั้ง 5 คน ก็เดินทางมารับฟังคำพิพากษาด้วยตนเองเช่นกัน

ทางด้าน น.ส.อัมพวรรณ กลับขันธ์ และนางสาวศิริลักษณ์ กลับขัน ลูกสาวของผู้เสียชีวิต บอกว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ยกฟ้องจำเลยทั้ง 5 คน โดยระบุว่าคดีดังกล่าวเป็นคดีร้ายแรง มีอัตราโทษสูงถึงขั้นประหารชีวิต จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ แต่หลักฐานที่ยื่นฟ้องต่อศาลมีไม่เพียงพอ ไม่มีน้ำหนักเอาผิดจำเลย หลักฐานที่เป็นภาพถ่ายที่ยื่นเข้าไปมีการปรับแก้ หลักฐานที่ได้มีแต่สัญญาณโทรศัพท์มือถือซึ่งไม่มีน้ำหนัก คำตัดสินจึงออกมาในรูปแบบนี้ ส่วนตัวเชื่อมั่นและเคารพในคำพิพากษาของศาล เพราะต้องดูพยานหลักฐานที่ส่งเข้าไป แต่ปัญหาของคดีเชื่อว่าเกิดในขั้นตอนกระบวนการยุติธรรมไทยก่อนถึงมือศาล ทั้งพยานหลักฐาน ซึ่งเป็นวัตถุพยาน อาวุธปืนที่ใช้ไม่มี ซึ่งจริง ๆ ต้องมีหลักฐานที่มีน้ำหนัก แต่หลักฐานที่ถึงศาลมีเพียงหลักฐานเกี่ยวกับเทคโนโลยี การใช้โทรศัพท์ ส่วนภาพวงจรปิดที่ตามจุดต่าง ๆ ทางทนายจำเลยสามารถแก้ต่างในจุดนั้นๆได้ ระบุไม่มีพยานในการได้ยินในสิ่งที่จำเลยพูดคุยโทรศัพท์ นอกจากนั้น ครอบครัวเคยได้คุยกับตำรวจกองปราบที่ทำคดีโดยทางตำรวจกองปราบให้ข้อมูลว่า ก่อนหน้านี้มีหลักฐานซึ่งเป็นภาพถ่ายของลูกสาวจำเลยที่ถ่ายรูปคู่กับเบอร์โทรศัพท์ของจำเลยได้หายไป โดยทางตำรวจกองปราบคนที่ทำคดีบอกว่า เขาจำได้ว่าได้ยื่นเข้าไปในสำนวนสอบสวน แต่มาปรากฏภายหลังว่าเอกสารชิ้นนั้นหายไป ทางทนายก็ได้ทำเอกสารใหม่เหมือนเอกสารเดิมยื่นให้ศาลปรากฏว่าศาลไม่รับรองให้แล้ว เนื่องจากไม่มีในสำนวน ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้มีในสำนวน

ลูกสาวของผู้ตาย บอกอีกว่า ตนเองเคยเห็นในคดีอื่น ๆ มาหลายคดี แต่พอได้มาเจอกับคดีตนเองก็ทำให้รู้ว่า นี่คือประเทศไทย. ความยุติธรรมไม่มีจริง เงินและอำนาจเท่านั้นที่ได้ แต่ส่วนตัวเคารพในคำพิพากษาของศาลว่า พิจารณาไปตามพยานหลักฐานที่มีอยู่ แต่ว่ากระบวนการก่อนที่จะถึงศาล ยังไม่ยุติธรรมเท่าที่ควร หลังจากนี้จะทำอย่างไรต่อไปหรือจะยื่นฎีกาต่อหรือไม่ ต้องกลับไปปรึกษากันในครอบครัวก่อน แม้จะเชื่อว่ายื่นไปก็ไม่มีความหวังว่าจะชนะ เพราะขาดพยานหลักฐานเชื่อมโยง แต่ก็อยากจะสู้ให้ถึงที่สุดเพื่อพ่อ ยอมรับว่าเสียใจ แต่ก็ได้ทำใจยอมรับสภาพมาจากบ้านแล้วว่าอาจจะออกมารูปแบบนี้อีก

ท้ายที่สุด ลูกสาวพูดกับพ่อด้วยน้ำตานองหน้าว่า อยากจะบอกกับพ่อว่า เกิดมาเป็นลูก ก็ได้ทำหน้าที่เป็นครั้งสุดท้ายให้พ่อแล้ว สู้มากว่า 3 ปีแล้ว ก็อยากให้พ่อให้ได้รับความยุติธรรม ตนเองเคยพูดว่า “คนตาย ไม่ได้ตายเอง ไม่ได้อยู่ ๆ หยุดหายใจไปเอง แต่มีการฆาตกรรมกันเกิดขึ้น แต่คนผิดไม่ได้รับโทษ แล้วใครเป็นคนผิด ทุกวันนี้ยังหาไม่ได้เลย พวกหนูเป็นลูกอยากให้พ่อได้รับความยุติธรรม หนูเป็นลูกก็อยากทำหน้าที่ตรงนี้ให้ดีที่สุด” ตอนออกจากบ้าน แม่ก็อวยพรให้เดินทางให้ปลอดภัย มาถึงตอนนี้ก็ยังกังวลเรื่องความปลอดภัย เพราะเราไม่มีพ่อแล้ว การที่เราไม่มีพ่อ ก็รู้สึกไม่ปลอดภัย พ่อเปรียบเสมือนหลังคาบ้าน แม่ก็เปรียบเสมือนบ้าน พอไม่มีหลังคาคอยคุ้มหัว ก็รู้สึกโหวงเหวง ไม่ปลอดภัย ส่วนเรื่องความปลอดภัยตอนนี้ก็ยังกังวล ตอนที่ศาลชั้นต้นตัดสินก็ได้ไปลงบันทึกประจำวันไว้ แต่มาถึงเวลานี้ยังมีผลหรือไม่ อาจต้องไปปรึกษาทนายว่าจะต้องไปลงบันทึกประจำวันไว้ใหม่หรือไม่ เพราะยังห่วงเรื่องความปลอดภัยของทุกคนในครอบครัว

ถูกใจข่าวนี้ไหม?

คลิกที่ดาวเพื่อโหวต

ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต:

ติดตามข่าวสารผ่าน Line 77 ข่าวเด็ด กดปุ่มเพิ่มเพื่อนเลย

เพิ่มเพื่อน