ร.ต.อ สมหมาย ดำคง ข้าราชการบำนาญ และภรรยา อยู่บ้านเลขที่ 9 หมู่ที่ 6 ต.บางรัก อ.เมือง จ.ตรัง ใช้เวลาพักผ่อนหลังเกษียณอายุราชการอยู่กับบ้าน อยู่กับธรรมชาติบนเนื้อที่กว่า 4 ไร่ มีการปลูกปาล์มน้ำมันด้วย ได้ใช้เวลาว่างทำโคก หนอง นา โมเดล หรือการเกษตรแบบผสมผสาน ทั้งการปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ เลี้ยงปลาเอาไว้รับประทานในครัวเรือน และใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์เหลือก็ขายสร้างรายได้ทุก โดยทุกวัน ร.ต.อ.สมหมาย จะออกจากบ้านตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อไปตลาดสดไปเก็บเศษผัก เศษผลไม้ เศษปลาที่แม่ค้า พ่อค้าในตลาดท่ากลาง เขตเทศบาลนครตรัง เพื่อนำมาทำเป็นอาหารให้กับสัตว์ และปลาที่เลี้ยงไว้สามารถประหยัดเงินค่าอาหารไปได้อย่างมาก โดยเมื่อนำมาแล้ว บางส่วนก็เอาไปเทสดๆให้กับเป็ด ห่าน ไก่ และแพะได้กิน บางส่วนก็เอาไปต้มในกระทะใบบัวขนาดใหญ่ผสมน้ำหมักชีวภาพ บางส่วนก็เอาไปหมัก ทำเป็นน้ำหมักจุลินทรีย์ไว้ผสมกับอาหารเลี้ยงสัตว์ และทำน้ำยาอเนกประสงค์ใช้เอง และทุกเช้าเมื่อกลับจากตลาดก็จะเอาเศษผักที่ต้มไว้ในกระทะใบบัวในทุกเย็น ( ซึ่งการต้มก็ใช้เชื้อเพลิงชีวมวลคือ เศษไม้ และทางปาล์มน้ำมันตากแห้งมาเป็นเชื้อเพลิง ) มาผสมกับน้ำหมักจุลินทรีย์ที่ได้จากซากพืช ซากสัตว์ดังกล่าว ผสมกับกากน้ำตาล หรือน้ำตาลทรายแดง และรำข้าว เพื่อเป็นโปรตีนคลุกเคล้ากันในกะละมังใหญ่ที่ทำขึ้นมาโดยเฉพาะ เมื่อได้อาหารแล้วก็นำไปเทให้สัตว์เลี้ยงทุกชนิดกินดังกล่าว ทำให้สามารถประหยัดค่าอาหารได้จำนวนมากต่อเดือน และสัตว์ทุกตัวก็สุขภาพดี ไม่มีมลพิษหรือกลิ่นเหม็นจากมูลสัตว์แต่อย่างใด เพราะน้ำหมักชีวภาพดังกล่าวเมื่อผสมในอาหารแล้ว สัตว์กินเข้าไปถ่ายออกมาก็ไม่ส่งกลิ่นเหม็น ถือเป็นภูมิปัญญาของเกษตรกรที่สามารถทำได้ด้วยตนเอง ส่วนพลังงานนอกจากใช้ไม้ฟืนแล้ว ในส่วนของแสงสว่างรวมทั้งมอเตอร์ต่าง ๆ ก็ได้จากแผงโซล่าเซลที่เกษตรกรติดตั้งไว้ทั้งหมด 3 จุดสำคัญของพื้นที่ ทั้งด้านหน้า บริเวณกลางลานสำหรับแสงสว่างรอบบ้าน และในบ้าน รวมทั้งบริเวณด้านหลัง ซึ่งเป็นสระนำเลี้ยงปลา ก็มีการติดตั้งแผงโซลาเซลไว้ สำหรับการให้ออกซิเจนในน้ำแก่ปลา รวมทั้งการจัดระบบน้ำผ่านคลองไส้ไก่ โดยการสูบน้ำส่งผ่านไปทางคลองไส่ไก่ เพื่อใช้สำหรับปลูกพืช และเลี้ยงสัตว์ภายในพื้นที่ทั้งหมด การตากแห้งสินค้าเกษตรแปรรูปก็ตากด้วยตู้อบพลังงานแสงอาทิตย์ ทำให้สามารถประหยัดค่าไฟอย่างมาก
ร.ต.อ สมหมาย ดำคง ข้าราชการบำนาญ เกษตรกร บอกว่า เดิมได้รับการสนับสนุนจากทางราชการให้ทำโคก หนอง นา โมเดล เนื้อที่เพียง 1 ไร่ แต่ต่อมาตนเองได้ขยายออกเป็น 4 ไร่ มีทั้งพืชหลักคือ ปาล์มน้ำมัน จำนวน 80 ต้น การเลี้ยงผึ้ง และการเลี้ยงสัตว์ เลี้ยงปลา ปลูกพืชผักสวนครัว เป็นการทำเกษตรแบบผสมผสาน ทั้งนี้ ในส่วนที่เป็นโคก ตนเองจะปลูกต้นไม้ 5 ระดับ คือ สูง กลาง เตี้ย เรี่ยดินและกินหัว ส่วนที่หนอง ก็จะเลี้ยงปลา มีทั้งปลากินพืช เช่น ปลาสวาย ปลานิล ปลายี่สกปลาบ้า และปลากินเนื้อ เช่น ปลาช่อน ปลาหมอ และปลาดุก ซึ่งปลาพวกนี้ก็จะนำมาแปรรูป และปลาสวยงาม การเลี้ยงปลาก็ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับประมง ปศุสัตว์ก็มีทั้งแพะ เป็ด ไก่ ห่าน ทั้งนี้ รายได้หลักก็มาจากปาล์มน้ำมัน จากการเลี้ยงผึ้ง รองลงมาก็คือ จากโคก หนอง นา ซึ่งการทำตรงนี้เราไม่มีหนี้สิน อยู่ได้อย่างสบาย เพราะการทำโครงการโคก หนอง นา ข้อดีคือ ไม่ว่าสภาพเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร แต่เราสามารถอยู่ได้ เพราะเราปลูกเองกินเอง ใช้เอง เมื่อมีโรคระบาด เช่น ช่วงสถานการณ์โควิดที่ผ่านมา ซึ่งมีการกักตัว เราก็อยู่ได้อย่างสบายภายในสวนของเรา มีของที่มีอยู่ในบ้านมาบริโภค ลดรายจ่าย สามารถอยู่ได้สบายไม่ต้องเดือดร้อน ยังสามารถแบ่งปันให้คนอื่นๆได้ด้วย ส่นวิธีการลดรายจ่ายในการทำเกษตรคือ ทั้งการทำปุ๋ยเอง โดยใช้ทางปาล์มมาสับและหมักทำเป็นปุ๋ย เศษผัก เศษผลไม้ ไปเก็บมาจากตลาดก็ทำเป็นปุ๋ยหมัก จากปุ๋ยหมักสามารถทำเป็นน้ำยาซักล้างอเนกประสงค์ได้ด้วย พวกเศษปลา ก็เอามาหมัก ใช้สำหรับการทำอาหารสัตว์ได้เช่นกัน ผสมกับรำข้าว ซึ่งอาหารที่คลุกเคล้าทำทุกวันละครั้งนั้น ยึดอาหารสัตว์เราทำ 1 อย่าง แต่สามารถใช้ได้ 4 อย่าง คือ ทำอาหารครั้งเดียวทุกวัน แต่สามารถใช้เลี้ยงสัตว์ได้ทุกชนิด ทั้ง เป็ด ไก่ ห่าน แพะ ปลา และติดตั้งแผงโซลาเซลประหยัดในการสูบน้ำ แสงสว่างตอนกลางคืน ใช้ในบ้าน และใช้ในการทำกิจกรรมสินค้าแปรรูป แต่ละเดือนเคยจ่ายค่าไฟเดือนละกว่า 950 บาท แต่ขณะนี้ไม่ต้องจ่ายค่าไฟฟ้า ประหยัดได้ทั้ง ไฟฟ้า ก๊าซหุงต้ม เตาก็จะใช้เตาชีวมวลเผาด้วยใช้ไม้ฟืน และทางปาล์มน้ำมัน เมื่อตัดลงมาแล้วก็นำมาตากในโล่งให้แห้ง สามารถเอามาทำเป็นไม้ฟืนได้ ทั้งนี้ หากทุกคนอยู่กับการพึ่งพาตนเอง ทำให้อยู่ได้โดยไม่ต้องเดือดร้อน
