ภูเก็ต “ลุงตู่” มาปราศรัยช่วยผู้สมัครหาเสียง คนแห่ต้อนรับกว่า 10,000 คน จนล้นลานเวทีกลางสะพานหิน แทบแตก หยอดคำหวานคิดถึง ขอให้เลือกรวมไทยสร้างชาติยกจังหวัด
เมื่อเวลา 18.10 น. วันนี้ 7 พ.ค. 2566 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) พร้อมแกนนำพรรค รทสช. เดินทางมายังเวทีกลางสะพานหิน อ.เมือง จ.ภูเก็ต เพื่อช่วยลูกพรรคทั้ง 3 เขต หาเสียง มีนายปิยะ สีดอกบวบ ผู้สมัครเขต1 เบอร์8, นวลจันทร์ สามารถ คุ้มบ้าน ผู้สมัครเขต 2 เบอร์ 3 และ ว่าที่ ร.ต.ชาญณรงค์ ประทีป ณ ถลาง ผู้สมัครเขต 3 เบอร์ 7 โดยมีประชาชนมาฟังการปราศรัยกว่าหมื่นคน พล.อ.ประยุทธ์ ปราศรัยตอนหนึ่งว่า วันนี้หัวใจชาวภูเก็ตอยู่กับตน และมาด้วยความคิดถึง ตนขอเลือกรวมไทยสร้างชาติยกจังหวัดเลยได้ไหม ภูเก็ตเงียบเหงามานาน ใครเป็นคนเปิดภูเก็ตแซนด์บอกซ์ เพราะตนมั่นใจชาวภูเก็ต จะได้รับความร่วมมือจากพี่น้องชาวภูเก็ต และถือเป็นแหล่งเที่ยวที่ดีแห่งหนึ่งของโลก และกำลังจะมีการจัดภูเก็ตเอ็กซ์โปร์ 2028 หากเราได้เป็นเจ้าภาพ นี่คืออนาคตของภูเก็ต ที่จะทำให้ภูเก็ตเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก และจะทำให้มีคนเดินทางมาภูเก็ตมากขึ้นเป็น 10 เท่า ขอให้ชาวภูเก็ตเชื่อมั่น
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า วันนี้มากันมืดฟ้ามัวดินถือเป็นนิมิตหมายที่ดี และขณะนี้เป็นวาระแห่งการเลือกตั้ง วันนี้ไปเลือกตั้งมาแล้วใช่ไหม ไม่อยากถามว่าเลือกใคร แต่คิดว่าไม่ต้องถามก็รู้ใจ วันนี้คนไทยต้องไม่ขัดแย้งกันอีก “ผมเป็นทหารมาก่อนรังเกียจกันหรือไม่ ทหารปกป้องประเทศชาติใช่ไหม เขาเป็นลูกหลานของท่านหรือเปล่า ข้าราชการเป็นช้างป่วยหรือเปล่า เขาบอกเป็นข้าราชการเป็นช้างป่วย ทหารผมก็ป่วยไปด้วยสิ แล้วทำไมประเทศชาติถึงปลอดภัยได้อยู่ทุกวันนี้”
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ทุกคนรู้โลกเปลี่ยนแปลงไปเยอะ แบ่งแยกตามภูมิศาสตร์ แบ่งกลุ่มแบ่งฝ่าย แต่ลุงตู่นี่แหละทำให้ประเทศไทยอยู่ท่ามกลางความสมดุล เราสร้างศัตรูไม่ได้อีกแล้ว เราต้องไม่สร้างศัตรูในประเทศของเรากันอีก ต้องไม่ปล่อยให้ใครทำอีก โอเคไหม
วันนี้ศึกนอก ศึกไกลผมไม่ห่วง แต่หวั่นทรวงศึกใกล้ไล่ข่มเหง หากคนไทยหันมาฆ่ากันเอง จะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟัง” เราต้องขับเคลื่อนประเทศ ไม่ใช่ทะเลาะกันในเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่าให้ใครทำอย่างนั้นอีก เกิดขึ้นอีกไม่ได้ ไม่อย่างนั้นไม่ใช่ประเทศไทยแล้ว ไม่ใช่ประเทศไทยที่เรารู้จักอีกต่อไป
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า วันนี้เราต้องช่วยกันแก้ปัญหาเพื่อลดการไปโรงพยาบาล แต่ไม่ป่วยดีที่สุด ต้องป้องกันตัวเอง ออกกำลังกาย อย่าไปเสพยาเสพติด และยาเสพติดก็ต้องปราบ ต้องกวาดล้างให้หมด ถ้าใครรู้เบาะแสแจ้งมาเลยแจ้งมาที่นายกฯ ถ้าตนเป็นรัฐบาลจะสั่งกวาดล้างให้หมด
พล.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องค่าแรงขั้นต่ำก็ต้องค่อยๆ ขึ้น ซึ่งประเทศไทยเหมาะกับการลงทุนมากที่สุด ขอให้ทุกคนภูมิใจว่านี่คือประเทศไทย อย่าไปเชื่อที่เขาบอกว่าตนอยู่พรรคอื่น ตนอยู่พรรคเดียวคือพรรครวมไทยสร้างชาติ ชื่อพรรคเป็นชื่อที่ดี รวบรวมคนไทยมาสร้างประเทศชาติ เอาคนข้างล่างมาร่วมสร้างประเทศ สร้างเศรษฐกิจประเทศ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ทุกคนที่นี่จะเลือกตนหรือไม่ ต้องเลือกให้หมด ขยายตัวไปเรื่อยๆ บอกทุกคน บอกเพื่อนพี่น้อง ตอนนี้เพลงลุงตู่อยู่ไหน อยู่ในหูทั้งวัน
เมื่อกล่าวจบช่วงนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้นำร้องเพลงพี่ตู่พี่ตู่อยู่ไหนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลอยู่ในรวมไทยสร้างชาติ พร้อมกล่าวว่า และพี่ตู่อยู่ในตัวทุกคน เพราะเราอยู่ในประเทศไทยที่มีชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน ต้องซื่อสัตย์สุจริตและให้กำลังใจกับข้าราชการที่ดีด้วย อย่าให้เขาเป็นช้างป่วย ระบบราชการถ้าใครผิดก็ลงโทษ อย่าไปเหมาว่าช้างป่วย
“ผมเป็นคนพูดเพราะ ยิ้มแย้มแจ่มใสหน้าตาดีกว่าในโทรทัศน์ มักจะเอารูปไม่ดีมาออก แล้วมาหาว่าผมขี้โมโห เป็นยักษ์ ทั้งที่ผมเป็นชายคนหนึ่งที่รักชาติรักแผ่นดิน แผ่นดินผืนนี้เป็นของคนไทย ใครจะมาทำร้ายไม่ได้ ขอให้ไปอ่านหนังสือชื่อผู้นำ ใครไปอ่านก็จะได้รู้ว่าประเทศไทยเปลี่ยนแปลงอะไรไปบ้าง ผมทำอะไรไปบ้าง ถ้าดูด้วยตา เปิดหูฟัง ด้วยใจ และตัดสินใจด้วยหัวใจของชาวภูเก็ต ในวันที่ 14 พ.ค.”
“หัวใจผมเป็นสีม่วง เป็นสีทหารเสือ มีสัญลักษณ์เป็นรูปหัวใจสีม่วง เป็นหัวใจของคนใกล้ตาย พร้อมตายตลอดเวลา ไม่โกหก แต่บางคนจะตายมันยังโกหกเลย บางคนยังไม่ตายก็โกหก โกหกกลับไปกลับมา ถอยหน้าถอยหลัง”
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวตอนท้ายว่า รักลุงตู่ รักมากๆ และรักนานๆ น้องตู่ขอขอบคุณ เป็นทั้งปู่ เป็นทั้งพ่อ เป็นทั้งลุง เป็นอะไรก็แล้วแต่ ก็คือลุงตู่คนนี้ที่จะทำให้ภูเก็ตเจริญก้าวหน้า มีชื่อเสียงระดับโลก
“หลายคนบอกว่าผมแก่แล้ว ให้กลับไปเลี้ยงหลาน ยังไม่แก่แน่นอน และบังเอิญผมไม่มีหลาน ก็เลยต้องอยู่ต่อนี่ไง ลูกโตหมดแล้ว ลูกไม่ได้แต่งงาน เขาบอกรักพ่อคนเดียว หนุ่มๆ หนีหมด พอพ่อเป็นนายกฯ หนุ่มๆ หนีเกลี้ยงเลย และลูกดุกว่าผมเสียอีก” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
