“แบม”ปณิดา ยศปัญญา นำลูกทีมนับร้อยร้องนายกฯ แฉหมดเปลือก แม่ส้ม”ตรีชฎา”อดีตแม่ค้าก๋วยจั๊บ หลอกกันชัดๆ บีบโดยระบบเอาความรวยมาล่อให้คนขายเลื่อนตำแหน่งแลกกับการหาลูกทีมมาช่วยจ่ายสต็อกสินค้า จนทองที่ไปจำนำโรงรับจำนำมาลงทุนหลุดไม่มีมีเงินไถ่ เงินเก็บ เงินยืมแม่สูญเกลี้ยง
เครือข่ายผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนส่วนหนึ่งประมาณ100 คนจากต่างจังหวัด และกทม.จากบริษัทเมจิกสกิน”เจ้าของผลิตภัณฑ์”ตรีชฎา” และสินค้าอีกกว่า200 รายการ นำโดยมีน.ส.ปณิดา ยศปัญญา หรือแบม นศ.ชั้นปีที่4ที่เป็นผู้ร้องเรียนการทุจริตในศูนย์ช่วยเหลือคนไร้ที่พึ่ง กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จะเข้ายื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.ผ่านผู้อำนวยการศูนย์บริการประชาชน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล (ฝั่ง กพ.) ในวันที่ 7 พ.ค.เวลา10.00น.
ข่าวน่าสนใจ:
น.ส.ปณิดา ยศปัญญา ระบุว่า เธอเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการเป็นตัวแทนขายให้กับผลิตภัณฑ์”ตรีชฎา” โดยเริ่มเป็นตัวแทนจำหน่าย เมื่อเดือนมีนาคม 2560 แต่เมื่อมีปัญหาเรื่องผลิตภัณฑ์ที่ไม่ผ่าน อย.ก็มีการเจรจาหลายครั้ง โดยขอเงินคืนจากบริษัทแต่ก็ได้รับการบ่ายเบี่ยงเรื่อยมาโดยบริษัทพยายามยัดเยียดผลิตภัณฑ์อื่นที่มีปัญหาเหมือนกันมาให้ขายแทนการจ่ายเงินสดคืนซึ่งผู้ขายไม่ยอมเพราะต้องการคืนเงินสด และตอนนี้ทุกคนเดือดร้อน จากเงินที่ลงทุนไปซึ่งไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้คืนหรือไม่ ซึ่งแม้ตำรวจจะดำเนินคดีนี้อยู่ก็ตาม แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นมีเยอะมากและเกี่ยวข้องกับผู้คนจำนวนมากจึงอยากให้นายกรัฐมนตรี ได้รับทราบปัญหาเพื่อให้เกิดการแก้ไขอย่างจริงจัง
ปณิดา บอกว่าก่อนจะเข้าไปเป็นตัวแทนขายตรีชฎา เมื่อเดือนมีนาคม 2560 เพื่อหายรายได้ระหว่างเรียน โดยได้ขายก๋วยจั๊บฮาลองร่วมกันกับคุณส้ม หรือตรีชฎา ใจสบาย จุดเริ่มต้นในการรู้จักกันกับ” ส้ม ตรีชฎา” เนื่องจากแม่ทีมของก๋วยจั๊บฮาลองแนะนำให้รู้จักกับส้ม และต่อมาแม่ทีม แนะนำว่าส้ม ตรีชฎา จะเปิดตัวสินค้าที่ชื่อว่าแบรนด์ตรีชฎา ก็เห็นว่าสินค้ากำลังจะเปิดตัว และยอดขายสูงแล้ว และชอบในแผนการตลาดที่ชูเรื่อง”สร้างรากหญ้าเป็นเศรษฐี”ก็เลยตัดสินใจร่วมขายโดยเริ่มแรกเป็นตัวแทนหลัก และมีระบบการขายแบบไม่เหมือนใคร และคิดว่าขายได้ และจากตัวแทนหลักได้เลื่อนตำแหน่งเป็น วีไอพี สต็อกของ 1,000 ซอง
ปณิดา บอกว่าล็อตแรกที่เธอลงทุน ใน1,000ซอง ราคาทั้งหมด 29,000 บาท และคิดว่า ระบบแบบนี้จะสามารถทำให้เรารวยและเลี้ยงพ่อแม่ได้ และมีเงินเก็บหลักแสนก่อนเรียนจบ จึงนำทองที่ซื้อมาโดยเงินเก็บของตัวเองทั้งหมดไปจำนำ และขอเงินแม่อีก 10,000บ.เพื่อลงทุนเพราะความเชื่อใจเจ้าของแบรนด์ ที่เป็นคนอีสานด้วยกันและเคยร่วมงานมาก่อนน่าจะไว้ใจได้
การลงทุนล็อตแรกเป็นไปด้วยดีมีกำไรกลับมาบ้างและมีลูกข่ายที่เป็นตัวแทนหลักเข้ามาร่วม โดยระดับวีไอพี ไม่เน้นการขายแต่จะเน้นการโยนลูกค้าให้กับตัวแทนมากกว่า เมื่อผ่านล็อตแรกที่ยอดขายเข้าเป้า มีการแนะนำว่าถ้าจะรวยขึ้นจะต้องสั่งลอต2 เพื่อจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นซุปเปอร์วีไอพี โดยต้องสั่ง 5,000ซอง ต้องหาเงินจำนวน 130,000บ. มาจ่ายกับแม่ทีม ซึ่งตอนนั้นยังไม่ย้ายทีม จึงตัดสินใจนำเงินของตัวเองและตัวแทนไปจ่ายให้กับแม่ทีมใหญ่130,000บาทและได้เลื่อนตำแหน่งเป็นซุปเปอร์วีไอพี
พอผ่านล็อต2 ที่ได้ตำแหน่งซูเปอร์วีไอพี ก็ต้องสั่งล็อต3 เพื่อเลื่อนเป็นดีลเลอร์ ซึ่งกำหนดให้ต้องสั่ง15,000 ซอง และหาเงิน 315,000 บ. จ่ายให้กับแม่ทีม ซึ่งถึงจุดนี้เธอคิดว่ามันไม่ไหวแต่ถ้าไม่เลื่อนตำแหน่งก็ไม่ได้เพราะมันเป็นระบบ แต่ล็อต 4ซึ่งตอนนั้นได้ย้ายทีมต้องสั่งเพียง 7,000ซอง เนื่องจากเจ้าของแบรนด์ปรับขึ้นราคาและจำนวนสต็อกของในแต่ละตำแหน่ง ดีลเลอร์ต้องสต็อกอย่างน้อย 50,000ซอง ซึ่งจำนวนเงินที่จ่ายเป็นล้าน
“ถึงช่วงนี้ก็เริ่มคิดแล้วว่ายิ่งขายยิ่งไม่ได้กำไร เพราะจ่ายเงินไป ไม่มีของมาขาย เนื่องจากของมาช้า ทำให้หมุนเงินไม่ได้ ทองที่จำนำไว้ก็ไม่มีเงินไปไถ่จากโรงรับจำนำ และคิดจะเลิกขายหลังจากจบล็อต 4 พอข่าวออกจึงทำให้เหลือสินค้าในสต็อก 1,240 ซอง รวมของตัวแทนทั้งหมด จึงยุติการขายทันที ดำเนินการจัดการสินค้าและปรึกษากับแม่ทีมใหญ่ตลอดมาเพื่อขอเงินคืนแต่เขาจะให้เรารับสินค้าตัวอื่นมาขาย”
ปณิดา บอกว่าความเสียหายเมื่อประเมินแล้วถึงจะเป็นถึงแม้ว่าแต่ละคนในระดับที่เธอทำอยู่ถึงจะมองตัวเลขไม่มาก แต่เมื่อรวมกันแล้วที่แต่ละคนต้องจ่ายเงินเข้าสู่ระบบเป็นจำนวนเงินที่ไม่น้อยเลย จึงรวมตัวกันเพื่อยื่นหนังสือร้องทุกข์ต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อให้กำชับจัดการเรื่องนี้ในการแก้ปัญหาให้ผู้ที่เดือดร้อนทุกระดับจากเครือข่ายเมจิกสกินได้รับความเป็นธรรมเท่าเทียมกัน.
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: