ความสัมพันธ์ระหว่าง จีน กับ สหรัฐฯ สองชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก ที่ยกระดับความตึงเครียดขึ้นอีกขั้น ได้สร้างความปั่นป่่วนให้กับตลาดหุ้นทั่วโลก โดยปรับตัวอยู่ในแดนลบกันทั่วหน้า โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
รายงานระบุว่า ตลอดทั้งวันที่ผ่านมา (24 ก.ค.) ยังคงมีแรงเทขายในตลาดหุ้นจีนออกมาอย่างต่อเนื่อง ฉุดดัชนีตลาดหุ้นจีนให้ปรับตัวร่วงลงแล้วเกือบ 5% โดยดัชนีเซี่ยงไฮ้ คอมโพสิต ปรับตัวลดลง 4.20% ขณะที่ดัชนี เสิ่นเจิ้น คอมโพสิต ร่วงลง 4.64%
ด้าน ดัชนีฮั่งเส็งของเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ลดลง 2.34% ซึ่งหุ้นที่มีการปรับตัวลงมากที่สุดก็คือหุ้นของบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยี อย่าง เทนเซ็นต์ ที่ร่วงลง 5.12% ส่วนยักษ์ใหญ่อย่าง อาลีบาบา ลดลง 3.41% ขณะที่ หุ้นของบริษัทเกมต่างๆ ก็ปรับตัวลงมาอยู่ในแดนลบเช่นเดียวกัน
ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นจีนในครั้งนี้มีขึ้น หลังความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ทวีความตึงเครียดมากยิ่งขึ้น เมื่อทางการจีนมีคำสั่งประกาศในวันนี้ให้สหรัฐฯ ปิดสถานกงสุลในเมืองเฉิงตูของจีน ตอบโต้ที่สหรัฐฯ สั่งจีนปิดสถานกงสุลในเมืองฮูสตัน
วิษณุ วราธาน หัวหน้าแผนกเศรษฐกิจและกลยุทธ์แห่งธนาคารมิซูโฮะ กล่าวว่า ความขัดแย้งของสองชาติมหาอำนาจ กลายเป็นปัจจัยคุกคามกดดันตลาดหุ้น ไม่ใช่เพียงเฉพาะในจีนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงตลาดหุ้นทั่วภูมิภาคเอเชีย และตลาดหุ้นวอลล์สตรีทในสหรัฐฯ เช่นเดียวกัน
ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์อีกส่วนหนึ่งมองว่า ทางการจีน นำโดยธนาคารกลางจีน (PBOC) น่าจะออกมาตรการเพื่อรักษาเสถียรภาพของค่าเงินหยวน รวมถึงรักษาสภาพคล่องภายในตลาด เพื่อป้องกันไม่ให้ธุรกิจจีนได้รับผลกระทบจากความตึงเครียดในครั้งนี้
ทั้งนี้ ดัชนีเอสแอนด์พี /เอเอสเอ็กซ์ 200 ของออสเตรเลีย ปรับตัวลดลง 1.19% ดัชนีคอสปิของเกาหลีใต้ ลดลง 0.59% และดัชนีเอ็มเอสซีไอ ของตลาดเอเชีย-แปซิฟิก ไม่รวมญี่ปุ่น ปรับตัวลง 1.72% ขณะที่ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดทำการในวันนี้เนื่องจากเป็นวันหยุด
ในส่วนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ปรับตัวลดลงเช่นกัน โดยดัชนีอุตสาหกรรมดาวน์โจนส์ ลดลง 1.3% ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลดลง 1.2% และดัชนีแนสแด็ก คอมโพสิต ซึ่งเป็นหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีลดลง 2.2% โดยความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังได้รับแรงกดดันจากตัวเลขรายงานคนว่างงานที่มีแนวโน้มว่าจะเพิ่มสูงขึ้นอีก หลังตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 18 ทำให้จำนวนคนว่างงานทั่วสหรัฐฯ พุ่งแตะ 1.416 ล้านคน มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะยู่ที่ 1.3 ล้านคน
ที่มา CNBC
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: