ตรัง เกษตรกรจำหน่ายพันธุ์ไม้หมดหนทาง ต้องถวายฎีการ้องทุกข์ต่อในหลวงรัชกาลที่10 หลังโดนบีบไล่ออกที่ทำมาหากินจากที่ดินขององค์การตลาดเพื่อเกษตรกร จ.ตรัง
วันที่ 24 มีนาคม 2561 ที่ตลาด อ.ต.ก.ตรัง แปลงที่ 1 ครอบครัวเกษตรกรจำหน่ายพันธุ์ไม้ นางสาวโสภา สุดฝ้าย อายุ 40 ปี อยู่บ้านเลขที 121/6 ม.2 ต.โคกหล่อ อ.เมือง จ.ตรัง แจ้งแก่ผู้สื่อข่าวว่า ครอบครัวของตน นายสมพงค์ สุดฝ้าย อายุ 62 ปี นางถวิล สุดฝ้าย อายุ 64 ปี โดนบังคับขับไล่ออกจากที่ดินขององค์การตลาดเพื่อเกษตรกร จังหวัดตรัง จนหนทาง จึงต้องถวายฎีการ้องทุกข์ต่อในหลวงรัชกาลที่10
นางสาวโสภา สุดฝ้าย เกษตรกรเพาะปลูกพันธุ์ไม้ขาย ในตลาด อ.ต.ก.ตรัง ให้สัมภาษณ์แก่ผู้สื่อข่าวว่า เริ่มเดิมทีตนเอง ทำต้นไม้อยู่ที่ ตำบลโคกหล่อ ในเนื้อที่ประมาณ 1 ไร่เศษ ซึ่งตนได้เช่าจากของชาวบ้าน และได้ทำสัญญา 3 ปีครั้ง อยู่มาเป็นเวลา 6 ปี จนกระทั่ง ได้มีเจ้าหน้าที่ อ.ต.ก.ตรัง มาเชิญชวนตนเองและครอบครัว ให้มาทำการบุกเบิกตลาดที่แห่งนี้ ตนจึงเห็นว่า ทางอตก. ได้ให้ความรู้ว่าจะเปิดเป็นตลาดพรรณไม้ที่ใหญ่ ในเขตภาคใต้
และตน ก็มีพันธุ์ไม้อยู่แล้วด้วย และเป็นคนที่ตั้งใจ ทำตรงนี้ เนื่องจากตนจะไปตลาดจตุจักร ตลาดที่กรุงเทพอยู่บ่อยๆ เขาจะไปรับซื้อต้นไม้มาขายเป็นประจำ และ เนื่องจากทางเจ้าหน้าที่ให้กำลังใจว่าจะเปิดตลาดให้ใหญ่ ก็เลยพากันมาขายที่ตลาดอตก.แห่งนี้ โดยพื้นที่แรกที่ตนเองได้เป็นล็อกที่ 10 เนื้อที่ประมาณ 1 เต๊นท์ พอหมดงานทางเจ้าหน้าที่ก็ได้คะยั้นคะยอให้ตนเองอยู่ต่อ ก็เลยได้ขายพันธุ์ไม้มาเรื่อยๆ
ในตอนแรก ตนเองก็ยังไม่ได้ขนพันธุ์ไม้มาลงไว้มากนัก เนื่องจากยังไม่ค่อยมีลูกค้ามาซื้อ แต่พออยู่ไปเรื่อยๆก็เริ่มมี ก็เลยตัดสินใจที่จะมาทุ่มเทอยู่ที่ตลาดแห่งนี้ หลังจากนั้นทางเจ้าหน้าที่เพิ่มพื้นที่ให้อีก ซึ่งเป็นแปลงที่ 17 หลังโกดัง ก็เลยมีทั้งที่เก็บของแล้วก็มีบริเวณหน้าร้านขายของ อยู่มาจนถึงครึ่งปี ได้มีเจ้าของพื้นที่ในแปลงล็อคที่ 1 ซึ่งอยู่บริเวณทางเข้า ตลาดอ.ต.ก.ชื่อนายการันต์ ซึ่งเป็นข้าราชการเกษตรอำเภอที่ สิเกา
ข่าวน่าสนใจ:
ได้แจ้งกับครอบครัวตนว่า ตัวเองไม่มีเวลา จึงได้แบ่งปันพื้นที่ดังกล่าว ให้กับล็อคที่ 2 แบ่งออกมาเป็น 2 ล็อค โดยล็อคที่ 1 ให้นายสมพงค์ สุดฝ้าย ซึ่งเป็นพ่อของตน เมื่อได้พื้นที่ดังกล่าวแจ้งกลับลูกค้าว่าตนเองได้มาขายพันธุ์ไม้ ที่นี่แล้วนะ แจ้งกลับลูกค้าที่ไปยังตำบลโคกหล่อ ให้มาซื้อที่ตลาดอตกแทน พอลูกค้ามาที่นี่จึงทำให้เห็นว่าขายได้ ลูกค้าก็มาซื้อและรู้จักแล้ว จึงได้คุยกันในครอบครัวและตกลงกันว่าเมื่อได้พื้นที่ตรงนี้แล้ว
และพื้นที่ในล็อคที่ 1 ตนก็ไม่ได้มาเองได้มาจากเจ้าหน้าที่ที่ชื่อนางศุภจิต จริงจิตร ที่บริหารอยู่ที่นี่ ซึ่งยังไม่มีใครได้ทำสัญญา สัญญาจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่ออยู่ผ่านไป1 ปี หลัง 1 ปีก็สามารถทำสัญญาได้ แต่เขาได้ให้คำมั่นสัญญา ว่าถึงเวลาวันที่ 22 สิงหาคม 2557 ไปจนถึง 22 สิงหาคม 2558 ครบ 1 ปี ทุกคนจะได้ต่อสัญญา ต่อเหมือนกันทุกคน และตนเองจะร้องขอสัญญา
เพราะตนเองจะกลัวว่าเจ้าหน้าที่ที่มีจะกลับคำ เนื่องจากตนเองและครอบครัวลงทุนไปเยอะ แต่พอจะทำสัญญา ตัวเองกลับโดนไล่ที่ แต่ตนได้จ่ายค่าเช่า เหมือนกับคนอื่นๆ แต่ไม่มีสัญญา เพราะทางเจ้าหน้าที่ไม่ทำสัญญาให้ ทางเจ้าหน้าที่ไม่ได้ทำสัญญาให้ทั้ง 3 แปลง เฉพาะในครอบครัวของตนเท่านั้น แต่คนอื่นกลับมีสัญญาหมด ซึ่งตนก็คาดว่า สาเหตุน่าจะมาจาก แรกเริ่มเดิมที มีคนต้องการแปลงแรก คือล็อคที่ 1 เนื่องจากเห็นว่าลูกค้าเข้า
เพราะลูกค้าเก่าของตนเข้ามาซื้อ แม่จะเปิดตลาดใหม่หากลูกค้ามีรถเข้ามา 10 คัน จะอยู่ที่ร้านของตนเองประมาณ 6คัน เนื่องจากลูกค้าเก่าเข้ามาเที่ยวเข้ามาชมเข้ามาซื้อ เนื่องจากตนเองมีลูกค้าประจำอยู่แล้ว แต่พอผู้ค้าคนอื่นเห็นว่าตรงนี้ขายได้ จึงทำให้ผู้ค้าประมาณ 3-4 คนสนใจพื้นที่ของตนเอง คาดว่าอาจจะเป็นทั้งผู้ค้าและอาจจะเป็นเจ้าหน้าที่ด้วยก็ได้ ก่อนหน้านี้ก็ได้คุยกับเจ้าหน้าที่ว่าเกิดอะไรขึ้นอยู่ๆมาไล่ที่ตนเอง
แต่ทางเจ้าหน้าที่กลับมาแจ้งว่าตนเองทำที่อยู่ถาวร แต่จากสภาพไม่ใช่ที่ถาวร ซึ่งที่ดังกล่าวเป็นที่ที่ทำมาก่อนตั้งแต่ปี 2548 ก่อนที่ตนเองจะเข้ามาอยู่ ซึ่งตนได้เข้ามาอยู่ปี 2557 จึงไม่เข้าใจว่าทางเจ้าหน้าที่ไม่ได้สังเกตเห็นหรือว่าอย่างไร ว่าที่ดังกล่าวได้สร้างมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ตนเองแค่มาถม และทำใหม่เองหมด ตรงที่บริเวณวางต้นไม้ขายเท่านั้น ส่วนที่พักไม่ได้ทำเพราะมันมีอยู่แล้ว ทั้งบ่อ ทั้งห้องน้ำ ตนแค่มาเพิ่มเติมเล็กน้อย
ทั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่ไม่ได้ช่วย เหนือตน แต่กลับมาบีบคั้น ให้ตนรีบย้ายออก ให้ทางเจ้าหน้าที่อ.ต.ก.จังหวัดตรัง ได้ไปขอร้องว่าขอให้ตนได้อยู่ทำมาหากินที่นี่ต่อ เพราะตนเองต้องเลี้ยงลูกเลี้ยงครอบครัว แต่กลับ โดนคำตอบมาว่าเขาไม่มีอำนาจไม่มีหน้าที่อะไรทั้งสิ้น เขามาทำงานตามคำสั่งของผู้ใหญ่ เองก็เลยเดินทางขึ้นกรุงเทพเพื่อขอผู้ใหญ่ ก็คือหัวหน้าของอตกสายตรงเลย และก่อนที่ตัวนี้จะขึ้นไปที่กรุงเทพก็ได้เคยส่งหนังสือ ร้องเรียนไปยังผู้อำนวยการ
อ.ต.ก.ส่วนกลางพร้อมโทรศัพท์คุยประมาณ 3 ครั้ง ว่าขอให้ตนเองอยู่ด้วย เพราะตนเองต้องเลี้ยงลูกเลี้ยงครอบครัว และก็ลงทุนไปที่นี่หมดแล้ว และ ไม่มีเงินทุนที่จะไปเริ่มต้นใหม่ แต่ที่ได้คุยกลับหมอกมาว่ามอบอำนาจให้ทาง อตกจังหวัดตรัง มาแล้ว เขาไม่สามารถตัดสินใจให้ได้ ต้องคุยกับคนที่นี่ แต่เมื่อคุยกับคนที่นี่ที่นี่ก็ส่งไปที่นู้น ตนจึงไปว่าแล้วตนเองจะต้องไปขอจากใคร
ดังนั้นตนจึงได้ส่งหนังสือขอความช่วยเหลือไปตามหน่วยงานต่างๆที่พอจะมีอำนาจที่จะช่วยเหลือตนเองและครอบครัวได้ เนื่องจากตนเป็นชาวบ้านธรรมดาธรรมดา ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องดังกล่าว จึงได้ทำส่งหนังสือไปทุกหน่วยงาน บางหน่วยงานตัวเองได้เดินทางไปหา เพื่อจะขอความเห็นใจ ว่าให้ช่วยคุยช่วยคู่ช่วยพูดช่วยทำยังไงก็ได้ คือหากทางเจ้าหน้าที่จะเอาพื้นที่ดังกล่าวตนก็ยอมให้ได้ แต่ว่าขอแบ่งปันพื้นที่ตรงอื่นมาให้ตนด้วย เพื่อที่จะได้ยกต้นไม้ตรงนี้ไปไว้ตรงอื่น ไว้ไปขายและนำไปอยู่ในทำเลที่ขายได้ ไม่ใช่ไปอยู่ในทำเลที่อับหรือเป็นทำเลหลังตึก ซึ่งหากเป็นทำเลใกล้ๆตนเองก็ขายไม่ได้ เมื่อขายไม่ได้ ทั้งครอบครัวก็เดือดร้อน ไหนจะลูกไหนจะพ่อแม่เดือดร้อนทั้งครอบครัว
ซึ่งตอนนี้ได้ขึ้นศาลไปแล้วและศาลสั่งตัดสินแล้ว ให้ออกจากพื้นที่ แต่ทางเจ้าหน้าที่อ.ต.ก.ได้มาแจ้งว่า หากไม่ออกจากล็อคที่ 1 ก็จะไม่ต่อสัญญาให้กับอีก 2 ล็อค ตนจึงบอกว่าไม่เกี่ยวอะไรกัน ขอพื้นที่ขยับขยายให้หน่อยให้ตนเองพอได้มีลู่ทางทำมาหากิน แต่ทางเจ้าหน้าที่บอกว่าหากไม่ออกจากตรงนี้ก็จะไล่ออกให้หมดทั้งครอบครัว ตนจึงจ้างทนายช่วย ก่อนหน้านี้ทนายรับปากว่าสู้ได้อย่างแน่นอน ตนเองก็จ่ายเงินค่าทนายแล้ว เป็นจำนวนเงิน 15,000 บาท แต่พอวันขึ้นศาล ทนายแจ้งว่า “สู้เขาไม่ได้หรอกเพราะเขาเป็นข้าราชการเราเป็นแค่ประชาชนทั่วไปก็แพ้ เดี๋ยวเขาก็ฟ้องร้องค่านู้นนี่นั่น ”
ทั้งนี้ตนเองก็ได้ทำเรื่องถวายฎีกาไปเมื่อวันที่ 20 มีนาคม ที่ผ่านมา ตนจึงวอนขออยากให้ช่วยหากไม่ให้พื้นที่ตรงนี้ก็ขอให้ช่วยขยับขยายพื้นที่ตรงอื่นให้เรา เพราะหากมองพื้นที่ฝั่งโน้น ยังคงเป็นพื้นที่รกร้างแต่ก็ยังเป็นทำเลที่ตนเองขายได้ อะไรก็ได้ที่ไม่ได้ให้ตนเองและครอบครัวออกไปจาก ที่ทำมาหากิน เนื่องจากตนเองได้ไปหาพื้นที่เช่าใหม่ ได้ไปลองทำมาแล้ว แต่ทำไม่ได้ เนื่องจากขัดสนเรื่องน้ำ และราคาค่าเช่า บวกกับลูกค้าไม่ได้ตามไป เพราะลูกค้ายึดติดกับที่ตรงนี้เยอะ ขณะตนเองไม่อยู่ยังโทรศัพท์หา และตนได้ลงทุนหมดแล้วจึงไม่มีเงินทุนเหลืออยู่เลย มีแต่หนี้สิน เพราะได้จ่ายค่าจ้างทนายไปทั้งสามคน หมดไปแสนกว่าบาท โดยที่ตนเองได้กู้ยืมเขามา จึงทำให้ตนต้องถวายฎีกา เพราะไม่มีทางไป ทางออกสุดท้าย คือขอน้ำพระทัย จากพระเจ้าอยู่หัว ช่วยเหลือตน ซึ่งตน ได้อยู่ ณ ที่แห่งนี้มาตั้งแต่ลูกคนเล็กเพิ่งเกิด ตั้งแต่ที่แผลยังไม่หายทางเจ้าหน้าที่ก็ได้ตามตนมาอยู่ พาลูกมาเลี้ยงตั้งแต่แบเบาะ ยังเคยมีเหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้นกับตนเองและลูกของตน ทั้งต้นไม้ยังเคยโดนฟันโดนทำลายข้าวของ โดนกลั่นแกล้งมาตลอด หลังจากที่เจ้าหน้าที่ นารีรัตน์ ได้ลงมาตรวจแปลง ซึ่งตนเองคาดว่าน่าจะมาจากการมีคนทำเรื่องร้องเรียนตนเองไป จึงทำให้เจ้าหน้าที่นารีรัตน์ ลงมาตรวจแปลงและแจ้งว่า “บ้านของฉันห้องนอนของฉัน คุณเป็นใครมาอยู่ในบ้านของฉันหลังจากนั้นก็โดนกลั่นแกล้งเจอเรื่องร้ายๆมาตลอด แต่ตนก็ขออยู่ด้วยอย่าไล่ครอบครัวออกจากที่เลย”
นางสาวโสภา ยังกล่าวอีกว่า ตนเคยเครียดมากถึงขั้นที่กินยานอนหลับไปพร้อมกับลูกอีกสองคน เพราะหนทางออกไม่เจอแล้ว แต่มีคนให้กำลังใจว่าหากถ้าไม่ตายก็ยังมีทางออก จึงทำให้ตนคิดสู้อีกครั้ง หวังเพียงพึ่งพระเจ้าแผ่นดิน นี่คือหนทางสุดท้าย เนื่องจากตนเองและครอบครัวไม่มีที่อยู่แล้ว บ้านก็เช่า รถก็ต้องผ่อน หากตนขายยาบ้ายาม้าผิดตนก็ยอมรับ แต่นี่ตนเป็นเกษตรกรทำงานอย่างสุจริต ได้ปลูกต้นไม้ก็มีความสุข จะได้กำไรบ้างไม่ได้บ้าง แต่ก็ทำด้วยใจ พยายามทำเศรษฐกิจพอเพียงดำเนินรอยตามคำสอนของพ่อหลวง เพื่อให้ชีวิตได้อยู่ได้ อยู่แบบสมถะ
ส่วนในวันที่ 26 มีนาคมนี้ ตนก็จะโดนจับ และตนยืนยันว่าจะไปที่ศาลเอง และพาลูกไปด้วย เนื่องจากไม่มีคนดูแล เพราะสามีต้องไปทำงานต่างจังหวัด ส่วนตอนนี้พ่อของตนคือนายสมพงค์ สุดฝ้าย นอนป่วยเกิดจากความเครียดและน้อยใจด้วยเนื่องจากตนและครอบครัวตั้งใจทำมาหากิน
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: