เชียงราย-สายด่วน 1386 เผยยาเสพติดยังทะลักเข้าตามชายแดนเชียงรายเป็นอันดับ 1 ระบาดในกลุ่มเยาวชนมากขึ้นกว่าเดิม ราคาขายปลีกถูกว่าเดิม ระดมสื่อภาคเหนือ 17 จังหวัด เข้ารับการอบรม สร้างการรับรู้แก่ชุมชน ระดมความคิดเห็นวางแนวทางแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน
วันนี้ 7 มีนาคม 2562 เวลา 10.00 น. ณ โรงแรมน่านสุวารินทร์ อ.เมืองน่าน นายวิศิษฐ์ ทวีสิงห์ นายอำเภอเมือง จังหวัดน่าน เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการเครือข่ายประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดพื้นที่ภาคเหนือ โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นสื่อมวลชนในพื้นที่ภาคเหนือ รวม 17 จังหวัด จำนวน 60 คน
ข่าวน่าสนใจ:
ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือระหว่าง เครือข่ายบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ภาคเหนือ 17 จังหวัด ชมรมสื่ออาสาเฝ้าระวังยาเสพติดจังหวัดน่าน และสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ภาค 5 เพื่อสร้างสัมพันธภาพอันดีระหว่างการทำงานร่วมกัน และสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่ภาคเหนือ
ในการจัดประชุมฯในครั้งนี้ ประกอบด้วย การจัดนิทรรศการให้ความรู้เรื่องการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด การบรรยายสถานการณ์ยาเสพติด การเสวนาบทบาทของสื่อมวลชนในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด การแบ่งกลุ่มระดมความคิดเห็นเพื่อวางแนวทางการทำงานร่วมกัน และการพัฒนาสัมพันธ์ภาพด้วยเกมส์สัมพันธ์ เพื่อสร้างแนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดต่อไป
นางทิพากร ชีวะสกุลยงนักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการ หนึ่งในทีมวิทยากรบรรยายของ ป.ป.ส.กล่าวว่า ปัญหายาเสพติดในประเทศนับเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศที่ทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือกันอย่างจริงจังไม่ใช่เป็นเรื่องของคนใดคนหนึ่ง ปัจจุบันพบว่าการแพร่ระบาดของยาเสพติดยังมีการแพร่ระบาดในกลุ่มเยาวชนมากขึ้น โดยราคาขายปลีกของยาเสพติดทุกชนิดมีแนวโน้มลดลง และมีการทะลักเข้ามาตามแนว
ตะเข็บชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะเชียงราย ยังเป็นอันดับ 1 ที่เป็นทางผ่านของยาเสพติด เนื่องจากยังมีการผลิตในประเทศเพื่อนบ้านอย่างต่อเนื่อง นำรายได้ไปซื้อสินค้าที่เป็นที่ต้องการของการของชนเผ่าต่างๆ ที่อยู่ในปกครองของตนเองจึงขอให้สื่อมวลชน ได้เผยแพร่ข่าวสารให้ประชาชนรับทราบการแพร่ระบาด และผลร้ายของยาเสพติด หารมีเบาะแสของกลุ่มขบวนการขอให้โทรแจ้งมาที่สายด่วน ป.ป.ส.ได้ที่หมายเลข 1386 หากสามารถจับได้ตามข่าวที่แจ้งจะได้รับรางวัลนำจับ กรณียาบ้าในอัตราเม็ดละ 2 บาท เมื่อคดีสิ้นสุด
ในส่วนเรื่องของการปลดล็อคกัญชาที่เป็นที่สนใจของประชาชน ขณะนี้ขอยืนยันว่ากฏหมายยังไม่สมบูรณ์ และเกษตรกรที่ต้องการปลูกต้องทำความเข้าใจเรื่องการปลูก ตั้งแต่สายพันธุ์ รวมถึงการขออนุญาต ต้องมีการปลูกแบบออร์แกนิค ในโรงเรือน แบบปิด เนื่องจากกัญชามีศัตรูพืชมากที่สุด กรณีที่แอบลักลอบปลูกได้มีการตรวจพบว่ามีการใช้ยาฆ่าแมลงมากจนไม่สามารถนำมาผลิตในเชิงการแพทย์และไม่สามารถนำไปรักษาโรคได้ นอกจากนี้ในระยะต่อไปยังจะต้องร่วมกับสาธารณะสุข
เข้าไปทำความเข้าใจให้ความรู้กับเกษตรกรในเรื่องเหล่านี้ให้มีความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวมากขึ้น ปัจจุบันการลักลอบปลูกกัญชา หรือมีไว้ครอบครองโดยผิดกฎหมาย ผู้ฝ่าฝืนต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากสงสัยเรื่องของกัญชา สามารถโทรสายด่วน ป.ป.ส.1386 กด 3 หรือสายด่วน อย.1556 กด 3 เช่นเดียวกัน
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: