สงขลา – สะเดา คาดหลับใน เกิดอุบัติเหตุรถเบนซ์หรูพุ่งชนท้ายรถบรรทุกพ่วง 18 ล้อขนเศษยางพารา ขณะตีโค้งเข้าซอย ส่งผลรถเบนซ์ช่วงหน้าพังยับ คนขับได้รับบาดเจ็บช่วงขาทั้งสองข้างกู้ชีพไม้ขม รีบนำส่งโรงพยาบาลสะเดา ด้านโชเฟอร์รถบรรทุกพ่วงบอกได้ยินเสียงตูม คิดว่าแค่ยางรถระเบิด
24 เม.ย. 63 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สะเดา อ.สะเดา จ.สงขลา ได้รับจ้งจากพลเมืองดีว่ามีอุบัติเหตุรถเบนซ์ชนท้ายรถบรรทุกพ่วงการจราจรติดขัด เหตุเกิดบนถนนกาญจนวนิช ใกล้ปากซอยแสงอาทิตย์ เขตเทศบาลเมืองสะเดา ร.ต.อ.นฤชาติ ประพัฒน์ พนักงานสอบสวนเวรฯ จึงรีบนำกำลังไปตรวจสอบ
ที่เกิดเหตุมีประชาชนมายืนมุงดูเป็นจำนวนมาก ส่วนที่กลางถนนพบรถเบนซ์หรู รุ่น C 63 AMG สีขาว หมายเลขทะเบียน ฎศ กรุงเทพมหานคร จอดอยู่สภาพช่วงคอลโทรลหน้ารถพังยับ ถุงลมนิรภัยทำงาน ส่วนคนขับซึ่งติดอยู่ในห้องโดยสารชุดกู้ชีพไม้ขม ของเทศบาลเมืองสะเดา ได้ใช้เครื่องมือตัดถ่างเอาตัวออกมาปฐมพยาบาล บล็อกคอ ดามขา และให้ออกซิเจนด้านนอก
ทราบชื่อคือนาย ธภัทร ทวีชุมพล อายุ 45 ปี ที่อยู่ 25 / 48 ถ.กรมหลวงชุมพร อ.เมือง จ.ชุมพร ก่อนนำขึ้นรถโรงพยาบาลสะเดานำไปรักษาตัวเป็นการด่วน ซึ่งเบื้องต้นพบว่ายังรู้สึกตัว ได้รับบาดเจ็บที่ขาทั้งสองข้าง เนื่องจากแรงกระแทก ส่วนอาการอื่นๆ ยังไม่ยืนยันต้องรอผลพิสูจน์จากแพทย์
ส่วนรถพ่วง 18 ล้อ คู่กรณี ยี่ห้อ อีซูซุหมายเลขทะเบียน 81-8297 สงขลา ทะเบียนพ่วง 82-0420 สงขลา ซึ่งจอดห่างออกไปเล็กน้อยได้รับความเสียหายตรงท้ายพ่วงด้านขวา ยางล้อรถแตก ส่วนคนขับชื่อนาย โสด สีหัด อายุ 49 ปี ชาว อ.จะนะ จ.สงขลา ซึ่งเล่าเหตุการณ์ว่าตนเองขับรถพ่วงซึ่งเป็นรถของบริษัท ขนเศษยางพาราจากโรงงานใน อ.จะนะ เพื่อจะนำมาส่งที่โรงงานใน อ.สะเดา จ.สงขลา
ขณะถึงที่เกิดเหตุตนเองได้เลี้ยวรถเพื่อจะเข้าไปโรงงาน สังเกตเห็นที่บริเวณปากซอยมีสายไฟ และสายโทรศัพท์ห้อยระโยงระยางจึงจอดรถ เพียงครู่เดียวก็ได้ยินสียงดังตูมสนั่นทางด้านท้ายรถ ตอนแรกคิดว่าเป็นเสียงยางล้อรถระเบิด แต่เมื่อลงไปดูถึงกับตกใจ ซึ่งพบว่าต้นเหตุของเสียงเป็นรถเก๋งพุงชนเข้าอย่างจัง และยางล้อรถระเบิดในที่สุด
ซึ่งคนที่เห็นเหตุการณ์บอกว่าได้ขับรถตามหลังรถเบนซ์คันดังกล่าว ก่อนถึงที่เกิดเหตุประมาณ 7 กิโลเมตร สังเกตเห็นรถเบนซ์วิ่งส่ายไปส่ายมาด้วยความเร็วสูง ก่อนมาพุงชนท้ายรถพ่วงในที่สุด คาดว่าจะเกิดอาการหลับใน เพราะบนพื้นถนนไม่มีรอยเบรคแต่อย่างใด ในเบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการบันทึกไว้เป็นหลักฐาน และรอสอบปากคำผู้บาดเจ็บอีกครั้งหนึ่ง ว่าอุบัติเหตุในครั้งนี้สาเหตุที่แท้จริงเกิดจากอะไร
