ประจวบคีรีขันธ์– บริษัท พาโนรามา พูลวิลล่า สวนกระแสเศรษฐกิจ ดึงนักลงทุนจีนร่วมลงทุนในโครงการ Golf Inn Condominium and Resort Hua Hin มูลค่าการลงทุน 1,200 ล้านบาท ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณพื้นที่ทำเลทอง สนามกอล์ฟแบลคเม้าเทน ตำบลหินเหล็กไฟ อำเภอหัวหิน คาด 3 ปีเสร็จสมบูรณ์ เจาะตลาดไทย จีน และยุโรปอนาคตเตรียมขยายการลงทุนไปยังภูเก็ต สมุย และเมืองพัทยา #77 ข่าวเด็ดประจวบคีรีขันธ์ (วิมล ทับคง เรื่อง/ภาพ)
นายอุดร ออลสัน Managing Director & CEO Panorama หนึ่งในนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ หัวหิน กล่าวว่าทางบริษัท พาโนรามา พูลวิลล่า ได้ร่วมกับนักลงทุนจีนซึ่งมีศักยภาพ ร่วมลงทุนในโครงการ Golf Inn Condominium and Resort Hua Hin ซึ่งเป็นโครงการ Condominium and Resort ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 7 ไร่ บริเวณสนามกอล์ฟแบลคเม้าเทน ตำบลหินเหล็กไฟ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ประกอบด้วย อาคาร 7 ชั้น 1 อาคาร อาคาร 6 ชั้น 2 อาคาร โดยอาคารที่ 1 เป็นอาคาร 7 ชั้นโครงการโรงแรมรีสอร์ท มีทั้งหมด 100 ยูนิต แบ่งเป็น ห้องขนาด 40 ตารางเมตรสำหรับ 1 ห้องนอน และห้องขนาด 75 ตารางเมตรสำหรับ 2 ห้องนอน อาคารโครงการรีสอร์ทจะประกอบด้วย ฝ่ายต้อนรับ สิ่งอำนวยความสะดวก ดังนี้ สระว่ายน้ำขนาด 6×12 เมตร อยู่บนชั้นสุดของอาคาร พลูบาร์ ห้องซาวน่า บริหารโครงการนี้แบบโรงแรม โดยมีเชนโรงแรมมาบริหารโครงการในขณะเดียวกันเปิดโอกาสให้นักลงทุน ซื้อห้องชุดเพื่อบริหารห้องพัก ทางโครงการการันตีผลตอบแทนขั้นต่ำ ปีละ 7% ตลอดระยะเวลา 3 ปี ราคาเริ่มต้นที่ 3.5 ล้านบาท ในส่วนอาคารที่ 2 และ 3 เป็นอาคาร 6 ชั้น บริหารแบบ Condominium มีนิติบุคคลบริหารจัดการประกอบด้วยห้อง 3 ขนาด 1. 40 ตารางเมตร สำหรับ 1 ห้องนอน 2. 75 ตารางเมตร 2 ห้องนอน 3. 100 ตารางเมตร 3 ห้องนอนด้านล่างประกอบด้วยสระน้ำขนาด 250 ตารางเมตร ห้องออกกำลังกาย ห้องอาหารและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆอีกมากมาย ราคาเริ่มต้นที่ 3 ล้านบาท มูลค่าโครงการทั้งสิ้น ประมาณ 1 พันสองร้อยล้านบาท
นายอุดร ออลสัน Managing Director & CEO Panorama กล่าวอีกว่าโครงการร่วมทุน ไทย –จีนครั้งนี้ เพื่อสร้าง Condominium and Resort จะขยายการลงทุนไปยังเมืองท่องเที่ยวสำคัญนอกจากหัวหิน แล้วโอกาสต่อไป ภูเก็ต สมุย และเมืองพัทยา รวมโครงการลงทุนทั้งสิ้น 7 พันล้านบาทตลอดโครงการ
สำหรับการลงทุนครั้งนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ ทั้งเรื่องของการก่อสร้าง วัสดุ และอุปกรณ์ต่างๆ และการจ้างงานกว่า 300 คน ซึ่งคาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ภายใน 3 ปี ส่งมอบให้กับลูกค้าได้เข้าอยู่อาศัย ซึ่งโครงการลงทุนครั้งนี้กลุ่มตลาดลูกค้า คนไทย นักกอล์ฟ และลูกค้าที่ต้องการบ้านอยู่อาศัยที่เมืองหัวหิน และกลุ่มเป้าหมายที่สำคัญลูกค้าชาวจีน โดยทางกลุ่มนักลงทุนจีนเอง และทางบริษัท ก็จะมีการทำตลาดในประเทศจีน ทั้งเซี่ยงไฮ้ กวางเจา เสิ่นเจิ้น ซึ่งก็ได้รับการตอบรับที่ดีมาก นอกจากนั้นยังมีกลุ่มตลาดยุโรปด้วย
หลายคนอาจมองว่า ทางบริษัท พาโนรามา พูลวิลล่า สวนกระแสกับสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันหรือไม่ ซึ่งผมมีความเชื่อมั่นในตัวเลขเศรษฐกิจที่กำลังเติบโตขึ้น โดยมีความเชื่อมั่นว่าไตรมาสแรกของปี 2563 ก็จะมีตัวเลขเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้นอย่างแน่นอน โดยตลาดจีนมีความสำคัญมีผลกระทบในค่าเงินบาทที่แข็งตัวอยู่ พร้อมเชื่อมั่นว่ามาตรการของกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย จะช่วยลดกระแสแรงกดดันในเรื่องของค่าเงินบาทที่แข็งตัว ดังนั้นการวางแผนการลงทุนของบริษัทตั้งแต่วันนี้ พอถึงเวลาที่แก้ปัญหาเงินบาทได้เราก็จะลงตัวพอดี
ทั้งนี้ในการร่วมลงทุนกับจีนครั้งนี้ระหว่าง นายอุดร ออลสัน Managing Director & CEO Panorama และ Mr.Tim Bai CEO Golf In To และ Mr. Tim Beaumont CEO The Beaumont Partnership มีพลเอก กนิษฐ์ ชาญปรีชญา สมาชิกวุฒิสภา ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีลงนามเซ็นสัญญาร่วมลงทุนโครงการโครงการ Golf Inn Condominium and Resort Hua Hin และนายคมสัน เจริญอาจ รองผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ,นายนริศย์ศักดิ์ อินทปัตย์ ผู้อำนวยการเขต ธุรกิจSME เขตธุรกิจ SME ขนาดเล็ก สาขาภูมิภาค 209 (เพชรบุรี) โดยโครงการนี้สนับสนุนโดยธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ท่ามกลางนักลงทุน และนักธุรกิจชาวต่างชาติ และไทย ร่วมเป็นเกียรติโดยจัดขึ้นที่ ห้องประชุมโรงแรมหัวหินแมริออท รีสอร์ทแอนด์สปา
นายอุดร ออลสัน Managing Director & CEO Panorama กล่าวว่านอกจากนั้นยังมีโครงการ Panorama Pool Villa Hua Hin ประกอบด้วย ทำเลที่ 1. บนเนื้อที่ 10 ไร่ บริเวณสนามกอล์ฟแบลคเม้าเทน ตำบลหินเหล็กไฟ อำเภอหัวหิน ประกอบด้วย บ้าน 3 แบบ เป็นพูลวิลล่า เริ่มต้นราคาที่ 5.9 ล้านบาท บนเนื้อที่ดิน 100 ตารางวา ทำเลที่ 2. บนเนื้อที่ 14 ไร่ บริเวณสนามกอล์ฟปาล์มฮิลล์ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ประกอบด้วย บ้าน 2 แบบ เป็นพูลวิลล่า เริ่มต้นที่ราคา 7.5 ล้านบาท บนเนื้อที่ดิน 110 ตารางวา มูลค่าโครงการทั้ง 2 แห่งประมาณ 6 ร้อยล้านบาท โดยมีธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด มหาชน เป็นผู้สนับสนุนโครงการ
