ประจวบคีรีขันธ์ – รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เผยคดียิงช้างป่าพลายงางามในอุทยานแห่งชาติกุยบุรี พุ่งเป้าความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างป่าเพียงประเด็นเดียว ขณะที่วันนี้ชาวบ้านย่านซื่อเกือบ 300 คน ประชุมเครียดยืนยันไม่เคยทำร้ายช้างพร้อมร่วมสาบานต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และร่วมกันยกมือให้เห็นว่าชาวบ้านย่านซื่อ ต้องการแนวรั้วกันช้างป่าหลังพืชผลทางการเกษตรเสียหายอย่างหนัก ขอให้หน่วยงานรัฐช่วยสร้างรั้วกันช้างป่าตามแนวเขต คทช.
24 มกราคม 2561 ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าในคดียิงช้างป่าพลายงางาม ในเขตอุทยานแห่งชาติกุยบุรี โดยพบซากในลำห้วยในเขตอุทยานแห่งชาติกุยบุรี หมู่ที่ 8 บ้านพุบอน ต.หาดขาม อ.กุยบุรี เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2561 ที่ผ่านมา
โดยในวันนี้ พ.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ทองงามตระกูล รองผู้บังคับการตำรวจถูธรประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า ในทางคดีมีความคืบหน้าไปมากแล้วเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายทำงานอย่างเต็มที่ตลอด 2 สัปดาห์เต็ม โดยขณะนี้ตำรวจชุดคลี่คลายคดีได้บีบประเด็นให้แคบลงเหลือเพียงประเด็นเดียว คือปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับข้างป่า ในเรื่องการทำลายพืชผลทางการเกษตรเท่านั้น
ส่วนกรณีเรื่องล่าเพื่อหวังเอางาช้างป่าพลายงางาม ที่มีความสวยงามและมีความยาวกว่า 100 เซนติเมตรนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้วิเคราะห์ข้อมูลและหลักฐานแล้วพบว่าไม่มีความเป็นไปได้ เพราะผิดวิสัยพรานล่างาที่จะไม่ทิ้งเหยื่อไว้พร้อมกับงาที่ต้องการ
ซึ่งล่าสุดตำรวจชุดคลี่คลายคดีได้เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายในพื้นที่บ้านหนองปุหลก ต.บ่อนอก อ.เมืองประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งมีรายงานว่า ผู้ต้องสงสัยครอบครองอาวุธปืนไรเฟิล แต่ไม่พบหลักฐานใดๆที่เกี่ยวข้องกับคดี โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเร่งหาข้อมูลในพื้นที่บ้านพุบอน ม.8 และบ้านย่านซื่อ ม.9 ซึ่งเป็นพื้นที่รอยต่อที่พบซากช้างพลายงางามล้ม กับพื้นที่ที่ถูกช้างป่าเข้าทำลายพืชผลทางการเกษตรอย่างหนักในช่วงครึ่งปีหลังปีที่ผ่านมา
โดยจะขอความร่วมมือจากชาวบ้านในพื้นที่ และกำนัน ผู้ใหญ่บ้านให้ข้อมูลปัญหาการทำลายพืชผลทางการเกษตร ว่ามีพื้นที่ใด หรือไร่ใด ถูกช้างป่าเข้าทำลายพื้นที่ทางการเกษตรอย่างหนักในช่วงครึ่งปีหลังของปีที่ผ่านมา และยอมรับว่าการติดตามคนร้ายที่ลงมือใช้ปืนไรเฟิลยิงช้างป่า เป็นคดีที่ค่อนข้างยากในระดับหนึ่ง ประกอบกับอาวุธปืนไรเฟิลที่คนร้ายใช้ก่อเหตุ นั้น ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจอาวุธปืนไรเฟิล ขนาด .375 จำนวน 6กระบอกที่ขึ้นทะเบียนไว้ แต่พบว่าไม่ตรงกับหัวกระสุนที่เก็บได้จากกระโหลกช้างป่า มีความเป็นไปได้ว่าคนร้ายอาจใช้อาวุธปืนเถื่อนในการก่อเหตุซึ่งจะทำให้การทำงานยากขึ้นไปอีก
แต่ยืนยันได้ว่าทางตำรวจภูธรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ไม่ได้นิ่งนอนใจ ยังคงทำงานแข่งกับเวลาเร่งติดตามคนร้ายที่ก่อเหตุยิงช้างป่าพลายงางามได้รับบาดเจ็บและล้มลงในที่สุด ทั้งนี้หากประชาชนหรือผู้นำท้องถิ่นมีเบาะแสสามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเพิ่มเติมได้ เพื่อเร่งหาข้อมูลประกอบคดี
ส่วนการสอบปากคำทั้งชาวบ้าน เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติกุยบุรี และทีมสัตวแพทย์นั้น ดำเนินการเสร็จแล้ว รวมถึงเส้นทางลำห้วย จุดพบซากช้างป่า และพื้นที่โดยรอบหุบเขา ม.8 บ้านพุบอน ได้มีการลงพื้นที่ตรวจสอบหาร่องรอยคนร้ายเพิ่มเติมแล้ว แต่ไม่พบอะไรที่จะเป็นประโยชน์ได้
ขณะเดียวกันในวันนี้ที่ศาลาอเนกประสงค์หมู่บ้านย่านซื่อ ม.9 ต.หาดขาม อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ชาวบ้านย่านซื่อกว่า 230 คน และชาวบ้านจากบ้านรวมไทย ,ชาวบ้านจาก อ.ปราณบุรี และสามร้อยยอด ได้มาร่วมรับฟังข้อมูลปัญหาช้างป่าทำลายพืชผลทางการเกษตร
โดยมี นายชาตรี จันทร์วีระชัย นายอำเภอกุยบุรี ,นายนิทัศน์ จันทร์ทอง เจ้าพนักงานป่าไม้อาวุโส สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดประจวบคีรีขันธ์, นายทัศนะ ศรีวิลาศ หัวหน้าโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูสภาพป่าบริเวณป่าสงวนแห่งชาติ ป่ากุยบุรี อันเนื่องมาจากพระราชดำริ, นายบุญรอด เขียวเพชร นายก อบต.หาดขาม, เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติกุยบุรี ,ทหารชุดรักษาความสงบที่ 2 พื้นที่อำเภอกุยบุรี, ทหารชุดพัฒนาสัมพันธ์มวลชนที่ 1210 บ้านย่านซื่อ ตร.สภ.บ้านยางชุมและ กอ.รมน.พื้นที่กุยบุรี ผู้ใหญ่บ้านย่านซื่อ
ร่วมประชุมรับฟังปัญหาของประชาชนในหมู่บ้านย่านซื่อที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาช้างป่าอุทยานแห่งชาติกุยบุรี ออกมากัดกินพืชผลทางการเกษตรได้รับความเสียหายและยังไม่ได้รับการช่วยเหลือเยียวยาจากหน่วยงานภาครัฐ
โดยชาวบ้านย่านซื่อส่วนใหญ่ ได้แสดงความคิดเห็นถึงแนวทางแก้ปัญหาป้องกันช้างป่า โดยอยากให้ทางภาครัฐจัดหางบประมาณทำแนวรั้วกันช้างป่า ทั้งหมดได้ยกมือเห็นด้วยและสนับสนุนให้มีการสร้างแนวรั้วกั้นช้างกึ่งถาวร ซึ่งได้มีการดูงานมาจากพื้นที่ป่าละอู ต.ห้วยสัตว์ใหญ่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ และ ต.ป่าเด็ง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี
โดยยินยอมให้มีการสร้างรั้วตามแนวเขตที่ดิน คทช. หรือ ที่ดินที่คณะอนุกรรมการนโยบายที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์เป็นประธาน จัดสร้างที่ดินทำกินให้กับราษฎร์ที่ยากไร้แต่ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน
นายนิทัศน์กล่าวว่า สำหรับ อ.กุยบุรี ที่ดิน คทช.ที่ดำเนินการจัดสรรแล้วคือที่ดินป่าสงวนแห่งชาติป่ากุยบุรี ที่อดีต อบจ.ประจวบคีรีขันธ์ เคยขอเช่ากับกรมป่าไม้ แต่ปัจจุบันหมดสัญญาเช่าแล้ว มาจัดสรรให้กับประชาชนได้ใช้เป็นที่ดินทำกิน โดยจะไม่เข้าไปรุกล้ำพื้นที่ป่า หรือแนวเขตอุทยานแห่งชาติกุยบุรี ซึ่งได้รับอนุญาตเรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันที่ 1พฤษภาคม2560 ที่ผ่านมา เนื้อที่ทั้งหมด 17,842 ไร่ หากประชาชนยินยอมให้สร้างแนวรั้วกั้นช้างก็สามารถทำได้ตามแนวเขตที่ดิน คทช. ได้ทันทีหากมีงบประมาณในการก่อสร้าง แต่หากจุดใดที่แนวเขตตัดผ่านที่ดินทำกินของราษฎร์นั้น ก็จะชะลอการก่อสร้างไว้ก่อน
ขณะเดียวกัน นายชาตรี ก็กล่าวว่า เมื่อชาวบ้านย่านซื่อที่มาร่วมประชุมกว่า 200 คน เรียกร้องให้รัฐช่วยเหลือเรื่องการสร้างรั้วกั้นช้างกึ่งถาวร ตามแนวเขต คทช.นั้น เห็นควรว่าควรสร้างแบบผสมผสาน โดยมีคูกั้น และถนนลาดตระเวน สำหรับเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติกุยบุรี ทหาร และชาวบ้านด้วย เพื่อให้การเข้าพื้นที่จุดที่พบปัญหาช้างป่าทำได้งานขึ้น เบื้องต้นคาดว่าจะต้องใช้ที่ดินตามแนวเขต คทช.ประมาณ 8 เมตร ตลอดแนวเพื่อสร้างทั้งรั้ว คู และถนน ไปพร้อมกัน แต่หากใช้ไม่หมดก็คืนให้ประชาชนทำประโยชน์ไป
หลังจากนี้คงต้องเป็นเรื่องของการเสนอของบประมาณ ซึ่งต้องใช้งบประมาณมหาศาล เฉพาะรั้วกั้นช้าง ค่าก่อสร้างกิโลเมตรละกว่า 1 ล้านบาท ซึ่งค่อนข้างเยอะ แต่คงต้องมีการตั้งงบประมาณและขอไปยังหน่วยงานต้นสังกัด ส่วนจะได้งบเมื่อไหร่อย่างไรนั้นจะพยายามอย่างเต็มที่ โดยระหว่างที่ยังรอการสร้างรั้วกั้นช้างนี้ ขอให้ประชาชนได้ช่วยเหลือเกื้อกูนกัน ช่วยกันไล่ช้างป่า และช่วยกันแจ้งข่าวทั้งโทรศัพท์หรือข้อความผ่านทางแอพพลิเคชั่นไลน์เพื่อให้ทุกฝ่ายได้ทราบความเคลื่อนไหว
อย่างไรก็ตามก่อนจบการประชุมนั้น ได้มีการเรียกร้องให้ทุกคนได้ร่วมกันสาบานต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นศาลขนาดใหญ่ภายในฐานทหาร ด้านข้างศาลาอเนกประสงค์ เพื่อเป็นการยืนยันความบริสุทธิ์ว่า คนย่านซื่อไม่ได้ฆ่าช้างป่า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดียิงช้างป่าพลายงางาม ตามที่มีข่าวออกมาก่อนหน้านี้ โดยได้สาบานว่า จะไม่ทำร้ายช้างป่าและสัตว์ป่า พร้อมทั้งไม่กิน ไม่ใช้ ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ป่าทุกชนิดด้วย
