กระบี่-ปปป.ขอตรวจ น.ส.3 หาดคลองสน เชื่อออกโดยมิชอบ จ่อเชือดย้อนหลัง จนท.รัฐที่รู้เห็น
กรณีการตรวจสอบการบุกรุกหาดคลองสน ในพื้นที่ ต.อ่าวนาง อ.เมืองกระบี่ ซึ่งก่อนหน้านี้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ทำการบินสำรวจพบว่ามีพื้นที่ 8 ไร่เศษ หน้าหาดคลองสน ถูกแผ้วถาง ซึ่งพื้นที่ดังกล่าว อยู่ในเขตอุทยานฯ ที่เคยมีการตรวจยึดการบุกรุกเนื้อที่ 125 ไร่ เมื่อปี 2546 จึงสั่งการให้อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี เข้าไปตรวจสอบและแจ้งความไว้ที่ สภ.อ่าวนาง เพื่อดำเนินการหาผู้กระทำความผิด ต่อมาตำรวจลงพื้นที่ตรวจสอบ ก็พบว่านอกจากที่ดิน 8 ไร่ที่ถูกแผ้วถางแล้ว ยังมีที่ดินอีกหลายแปลงหน้าหาด ถูกเข้าครอบครองโดยเอกชน อ้างมีเอกสารสิทธิ์เป็น น.ส.3 ก. ทั้ง ๆ ที่พื้นที่ดังกล่าวอยู่ในที่ดินแปลงที่เคยตรวจยึดทั้งหมด ทำให้หลายหน่วยงานให้ความสนใจเข้ามาร่วมตรวจสอบพื้นที่หน้าหาดทั้งหมด ว่าเอกชนที่เข้าครอบครองได้เอกสารสิทธิ์มาอย่างไร ออกมาโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยทางตำรวจ บก.ปปป. จะเข้าตรวจสอบเรื่องดังกล่าวด้วย เพื่อดูว่ามี จนท.ของรัฐ เข้าไปเกี่ยวข้องกับการออกเอกสารสิทธิ์หรือไม่
ข่าวน่าสนใจ:
ความคืบหน้าเรื่องนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.กระบี่ วันที่ 20 ม.ค.65 ที่ห้องประชุม ที่ทำการอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี อ.เมืองกระบี่ พ.ต.อ.สมศักดิ์ เนียมเล็ก ผกก.5 บก.ปปป.บช.ก. เชิญตัวแทนจากหน่วยงานเกี่ยวข้อง ประกอบด้วย นายยงยุทธ นาควิโรจน์ ผอ.สบอ.5 กรมอุทยานฯ นายชัยวุฒิ บัวทอง นอภ.เมืองกระบี่ นายปราโมทย์ แย้มนาม หน.อช.หาดนพรัตน์ธาราฯ พ.ต.อ.ภัทราวุธ อ่อนช่วย ผกก.5 บก.ปทส.บช.ก. นายมานะ นวลหวาน ผอ.เจ้าท่าภูมิภาค สาขากระบี่ พ.ต.อ.อภิชาติ จินาเพ็ญ ผกก.สภ.อ่าวนาง จนท.อุทยานฯ ตำรวจ ปปป. ปทส. เข้าประชุมสรุปข้อมูลกรณีการบุกรุกพื้นที่หาดคลองสน อ่าวทึง บ้านนาตีน หมู่ 4 ต.อ่าวนาง โดยทางอุทยานฯ สรุปเรื่องที่เกิดขึ้นต่อที่ประชุม ว่าเมื่อวันที่ 24 พ.ย.64 ศูนย์ปฏิบัติการบินภาคใต้ กรมอุทยานฯ ทำการบินสำรวจสภาพป่าตามแผนปฏิบัติการบินปี 2565 พบว่าพื้นที่บริเวณหน้าหาดคลองสน ในอ่าวทึง มีการบุกรุกแผ้วถาง และโค่นล้มต้นไม้ในเขตป่าคงสภาพ หรือป่าไม้ถาวร ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 พิกัด 47P 476170E 889286N เนื้อที่ 8.16 ไร่ จึงแจ้งความไว้ที่ สภ.อ่าวนาง เป็นคดีอาญาที่ 627/2564
จากการเข้าตรวจสอบพื้นที่พบร่องรอยการนำรถแบคโฮ เข้ามาโค่นล้มไม้ป่าชายหาด และมีการนำเอากล้าไม้ตะเคียนทอง ไม้พะยูง เข้ามาปลูกในพื้นที่จำนวน 550 ต้น แต่การเข้าตรวจสอบไม่พบผู้กระทำความผิด ซึ่งพื้นที่แผ้วถางดังกล่าว อยู่ในเขตอุทยานฯ และป่าสงวนแห่งชาติทั้งแปลง ต่อมามีการตรวจสอบพบว่าพื้นที่ดังกล่าว อยู่ในแปลงตรวจยึดเก่าเมื่อปี 2546 ในคดีอาญาที่ 627/2546 ซึ่งตรวจยึดไว้เมื่อวันที่ 16 ก.ย.2546 เนื้อที่รวม 125 ไร่ 2 งาน 32 ตร.ว. ซึ่งการตรวจยึดดังกล่าวพบผู้บุกรุกนำเอาต้นกล้าปาล์มน้ำมัน มะพร้าว เข้ามาปลูกไว้ และนำเสาคอนกรีตมาล้อมรั้วเป็นแนวเขต อุทยานฯ จึงเข้าทำการรื้อถอนพืชผลอาสิน และสิ่งปลูกสร้าง ในพื้นที่ทั้งหมด 125 ไร่ พร้อมลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สภ.เมืองกระบี่ ในขณะนั้น แต่การตรวจสอบในปีดังกล่าว ไม่มีผู้มาแสดงความเป็นเจ้าของพื้นที่ จึงไม่ได้มีการตรวจสอบเอกสารสิทธิ์ครอบครอง
ในส่วนของพนักงานสอบสวน สภ.อ่าวนาง นำเสนอข้อมูลต่อที่ประชุม ว่าภายหลังมีการเข้าแจ้งความ ทางพนักงานสอบสวน สภ.อ่าวนาง ได้ประสานของบันทึกประจำวัน และเอกสารการตรวจยึดทั้งหมดที่มีการแจ้งความไว้เมื่อปี 2546 จาก สภ.เมืองกระบี่ มาตรวจสอบ ก็พบว่านอกจากแปลงที่มีการแผ้วถางใหม่ 8 ไร่เศษแล้ว ยังพบว่ามีเอกชนเข้าครอบครองพื้นที่บริเวณด้านหน้าหาด ซึ่งอยู่ในพื้นที่อุทยานฯ อีกหลายสิบราย บางรายเข้ามาปลูกสร้างเป็นบังกะโล รีสอร์ต และบ้านพัก โดยอ้างเอกสาร น.ส.3 ก. ซึ่งทางตำรวจประสานของระวางจาก สนง.ที่ดิน จ.กระบี่ มาตรวจสอบ ก็พบว่ามีการขอออก น.ส.3 ก. ในปี 2528 หลังประกาศพื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตอุทยานฯ แล้ว ทาง พ.ต.อ.สมศักดิ์ จึงสอบถามเรื่องเอกสารสิทธิ์จากตัวแทนกรมอุทยานฯ ว่าเหตุใดยังไม่มีการตรวจสอบ ซึ่งทางอุทยานฯ อ้างว่า เนื่องจากเอกสารสิทธิ์ที่เอกชนถือครอง ถูกออกมาก่อนการตรวจยึดปี 2546 จึงไม่ได้เข้าตรวจสอบ แต่ยืนยันว่าพื้นที่ดังกล่าว อยู่ในเขตอุทยานฯ ทั้งหมด ภายหลังการประชุมเสร็จสิ้น จนท.ทั้งหมด เดินทางไปตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุอีกครั้ง เพื่อทำบันทึกการตรวจสอบ และรวบรวมข้อมูลทั้งหมดไว้เป็นหลักฐาน
พ.ต.อ.สมศักดิ์ กล่าวว่า จากการรับฟังข้อมูล และลงพื้นที่ตรวจสอบในวันนี้ พบว่าพื้นที่ดังกล่าว มีความน่าเชื่อว่าเป็นพื้นที่ออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบ เพราะทางอุทยานฯ ยืนยันว่าที่ดินแปลง 125 ไร่ อยู่ในเขตอุทยานฯ แต่กลับมีเอกชนเข้ามาครอบครองโดยอ้างเอกสารสิทธิ กระบวนการหลังจากนี้ ตนจะเร่งรวบรวมข้อมูลเอกสารหลักฐานทั้งหมด เพื่อทำหนังสือไปยังกรมที่ดิน โดยตรง เพื่อขอระวางที่ดินทั้งหมดบริเวณดังกล่าว ตลอดทั้งแนวชายหาด เพื่อดูว่ามีเอกสารสิทธิ์ครอบครองพื้นที่กี่ราย และออกเมื่อไหร่ ออกโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ แต่เอกสารสิทธิ์ที่ได้มาตอนนี้จากฝ่ายปกครอง พบว่าเนื้อที่หน้าหาดประมาณ 30 ไร่เศษ มีการขอออกเป็น น.ส.3 ก. และมีการแบ่งแยกเป็นแปลงย่อยกว่า 17 แปลง เพื่อจัดสรรขายให้กับบุคคลที่ 3 หลังจากได้เอกสารจากกรมที่ดินแล้ว หากตรวจสอบพบว่าเป็นการออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบ ก็จะทำเรื่องเสนอให้กรมที่ดิน ทำการเพิกถอนตามประมวลกฎหมายที่ดิน ม.61 และดำเนินการเอาผิดย้อนหลังกับ จนท.รัฐ ที่เข้าไปเกี่ยวข้อง ซึ่งตอนนี้ยังระบุไม่ได้ว่ามี จนท.รัฐ จากหน่วยงานไหนบ้างที่มีเอี่ยว ส่วนเอกชนที่ถือครองที่ดินในปัจจุบัน เชื่อว่าหลายรายไม่ได้รู้เห็นกับการออกเอกสารสิทธิ์ แต่เข้ามาซื้อและจับจองที่ดินเพราะเห็นว่าเจ้าของเดิมมีเอกสารสิทธิ์ จึงซื้อมาด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่ต้องดูพยานหลักฐานอย่างละเอียดอีกครั้ง และยืนยันว่าจะตรวจสอบทั้งหมด 125 ไร่.
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: