สวนตาศรี ยายก๋งชื่ออาจจะไม่คุ้นหู แต่ใครมีโอกาสได้ไปเยี่ยมชมสวนพอเพียง ของสองตายายต้องทึ่งและน่ามหัศจรรย์ กับวิถีชีวิตแบบพอเพียงของสองตายายที่พลิกผืนนาเป็นสวนผสมผสาน ยึดตามแนวพระราชดำรัสในหลวงรัชกาลที่ 9ได้อย่างลงตัวและพอเพียง สวนตาศรี ยายก๋ง ไม่ไกลจากตัวเมืองลำปางมากนัก ไปตามถนนห้วยหล่อ-แม่ทะ เลี้ยวซ้ายเข้าทางลำปางวัลเลย์ เขตบ้านห้วยหล่อ ต.ชมพู อ.เมือง จ.ลำปาง ผ่านถนนเข้าไปประมาณ 2-3 กิโลเมตร เมื่อผู้สื่อข่าวไปถึงก็ถึงสวนตาศรี ยายก๋ง มีป้ายหน้าสวน มีบ้านเพื่อพักอาศัยอยู่หน้าบ้าน ก่อนที่คุณตาศรี และยายก๋ง จะออกมาต้อนรับแล้ว พาเดินเข้าไปในสวน สิ่งแรกที่พบเป็นสระบัวหลวงพื้นที่หลายไร่ รอบสระและริมทางเดินมีต้นใบเตย ไม้ดอก ไม้ประดับปลูกสลับปะปนกันไป สระบัวทุกบ่อมีศาลานั่งเล่นลมเย็นของกลิ่นธรรมชาติ ในสระบัวมีปลานิลน้อยใหญ่ที่เลี้ยงแบบธรรมชาติแหวกว่ายสระเข้าไปสวนมีป่าสัก ต้นไม่นาๆชนิดที่ถูกแวดล้อมด้วยนาข้าวสุดลูกหูลูกตา ตาศรี บุญศรี ฟูสกุล วัย 75 ปี เจ้าของสวนเล่าว่า แต่เดิมสมัยตอนหนุ่มๆตาศรีมีอาชีพทำนาซึ่งสืบทอดจากพ่อแม่โดยยกที่ดินให้ 3 ไร่ เกือบทั้งชีวิตทำนาขายข้าว เก็บหอมรอมริบซื้อที่ดินข้างเคียงและขยายเป็นนาแปลงใหญ่ สร้างครอบครัวกับยายก๋งภรรยา เมื่อถึงการเปลี่ยนแปลงได้ แบ่งพื้นที่ปลูกพืชผักหมุนเวียน ทั้งข้าวโพด มันสำปะหลัง ผักสวนครัว จนกระทั่งเมื่อปี 2539 ตาศรีหับยายก๋งมีโอกาสไปเยี่ยมชมโครงการหลวงห้วยฮ่องไคร้ จังหวัดเชียงใหม่ จึงได้นำเอาแบบอย่างของการทำเกษตรผสมผสาน ตามแนวพระราชดำรัสในหลวงรัชกาลที่ 9 อยู่แบบพอเพียงนำกลับมาพัฒนาที่นาของตัวเองให้เป็นแปลงเกษตรผสมผสานแบบค่อยเป็นค่อยไป
“ตาศรีบอกอีกว่าตั้งแต่นั้นเริ่มเปลี่ยนจากการทำนาข้าว บางส่วน มาปลูกกล้วย มะพร้าว และพื้นที่เนินก็ปลูกต้นสักไว้เป็นสวนป่าให้ร่มเงา พัฒนาพื้นที่ที่มีอยู่ 10 ไร่ ให้เป็นสวนผสมที่มีลักษณะเฉพาะคือ ที่ดินบริเวณนี้ มีตาน้ำคือน้ำผุดจากใต้ดินขึ้นมาหลายจุด อาจเป็นเพราะ เราปลูกต้นไม้ใหญ่เอาไว้เยอะ เลยทำให้ดินอุ้มน้ำไว้มาก บวกกับน้ำลำเหมืองสาธารณะไหลผ่านตลอดปี เราจึงทดลองขุดแปลงนาที่มีน้ำขังมากๆให้เป็นนาบัวเอาไว้ตัดขายดอก ปรากฏว่าบัวแพร่ขยายกอเร็ว เจริญเติบโตดีมาก เลยขยายพื้นที่นาบัว หลายไร่ และปลูกใบเตยซึ่งเป็นพืชชอบน้ำรอบสระบัว เอาไว้ตัดใบขาย นอกนั้นก็เป็นกล้วย มะพร้าว ดอกดาหรา เบิร์ดออฟพาราไดซ์ และไม้ประดับรอบสระเก็บขายตลอดปี เราเหนือยมีรายได้มากกว่าการทำนา จนเลิกทำนาหันมาทำสวนผสมเต็มพื้นที่ ” นอกจากพื้นที่ นาบัว แล้วพื้นที่โซนสวนป่า มีต้นสัก มะขามและไม้ผลยื่นต้นปะปนกันไป แซมด้วยต้นกาแฟที่นำต้นพันธ์มาจากบ้านแม่แจ๋ม อำเภอเมืองปาน พื้นที่บางส่วนที่แสงส่องถึงก็ปลูก ข้าวโพด ปะปนกับพืชผักสวนครัว พริกทะเขือ ผักพื้นบ้าน ผักกาดน้อยหรือผักกาดต้นอ่อนที่นิยมทำอาหารพื้นเมืองโดยปลูกอย่างละ แปลงสองแปลง หมุนเวียนไปตามฤดูกาล ซึ่งการเพาะปลูกนั้นจะไม่ใช้ปุ๋ยเคมีใดๆ แต่อาศัยความอุดมสมบูรณ์ของดิน น้ำ ตามธรรมชาติ
ส่วนคุณยายก๋ง สายทอง ฟูสกุล วัย 70 ปี บอกเล่าด้วยรอยยิ้มที่บ่งบอกถึงความสุขในปั้นปลายชีวิต ว่า หลังจากเลิกทำนาหันมาทำเกษตรผสมผสาน นับเป็นบุญแก่ชีวิตที่ได้รับแนวคิดเกษตรพอเพียงตามแนวพระราชดำรัสในหลวงรัชกาลที่ 9 ให้ทำกินแบบเรียบง่าย พอกินพอใช้ เหลือขาย สร้างรายได้แบบยั่งยืน“สวนของเรา สามารถเก็บเกี่ยวพืชผล และกิ่งใบไม้ดอกไม้ประดับขายหมุนเวียนได้ตลอดปี สามารถเลี้ยงลูกสองคนสบายๆ ทุกวันนี้ใช้ชีวิตบั้นปลายแบบมีรายได้ มีความสุข สุขภาพดี ทุกวันจะตัดดอกไม้ และใบไม้ประดับ ทำเป็นมัดสำหรับชุดดอกไม้ไหว้พระ ไปขายที่ตลาดเก๊าจาว ในตัวเมือง บางวันก็ขายที่ตลาดบ้านฟ่อนใกล้บ้าน มีรายได้หลายร้อยบาท นอกเหนือจากขายปลีกในตลาดก็มีลูกค้าขาประจำที่มาสั่งซื้อไม้ดอกไม้ใบ และใบเตย และต้นเพาะชำต่างๆ เป็นรายได้หลัก ส่วนที่เหลือมีรายได้จากการขาย พืชผลในสวน และขายปลาในฤดูการน้ำแล้ง ถึงจะไม่มากเป็นหลักหมื่นหลักแสน แต่ก็มีรายได้ทุกวันบางทีสูงถึงหลักพัน ที่สำคัญเราปลูกพืชกินได้ทุกอย่าง ทำให้ซื้อของจากตลาดเพียงแค่เนื้อหมู ไก่ และของใช้จำเป็น รายจ่ายน้อยกว่ารายรับชีวิตดีมีความสุข”คุณยายก๋งบอกว่า ที่สวนแห่งนี้มักมีคนรู้จัก มาเที่ยวเยี่ยมชมบ่อยๆ แต่ไม่ได้ทำเป็นแหล่งท่องเที่ยวอะไรเพราะอยู่สองตายาย และมีลูกสาวสองคนมาช่วยดูแลสวนบ้างเท่านั้น จึงไม่สะดวกรับแขกแบบท่องเที่ยว แต่ก็ยินดีต้อนรับคนที่มาเยี่ยมชมสวนไม่เคยขาด ความสุขในชีวิตของการทำเกษตรพอเพียง สุขภาพดีจากการเดินทำสวน กินอาหารปลอดสารพิษ ได้มิตรภาพจากผู้มาเยี่ยมชม ถือเป็นความสุขที่สระสมไว้มาจนถึงบั้นปลายชีวิต ใครอยากไปอุดหนุน หรือเยี่ยมชมสวน โทรติดต่อ ได้ที่หลายเลขโทรศัพท์ 095 7796202
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: