หลังจากมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) คนต่างจังหวัดต้องเดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยงสีส้มและสีแดงเพื่อกลับบ้านเกิดช่วงหยุดยาวเทศกาลปีใหม่แต่บางคนไม่ยอมทำตามมาตรการของภาครัฐ และยังคงเดินทางไปหลายที่เพราะคิดว่าตัวเองไม่เป็นผู้ติดเชื้อ แต่มีผู้ชายคนหนึ่ง หนุ่มวัยทำงานเป็นคนอำเภอเสริมงาม จังหวัดลำปาง เชฟอยู่ในโรงแรมแห่งหนึ่งในกรุงเทพได้ตัดสินใจกลับบ้าน และรู้ตัวเองดีว่ามาจากพื้นที่เสี่ยง เมื่อมาถึงและได้แจ้งเจ้าหน้าที่ให้เป็นไปมาตรการของทางอำเภอเสริมงามแล้ว จึงมุ่งตรงไปยังกระท่อมปลายนาของตัวเองเพื่อใช้ชีวิตโดดเดี่ยวคนตามลำพังเพื่อกักตัวเองเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวม
โดยชายผู้กักตัวเองได้เล่าให้ผู้สื่อข่าวผ่านทางโทรศัพท์ว่า “ผมทำงานเป็นเชฟอยู่ในโรงแรมเล็กๆแห่งหนึ่งใน กทม. วางแผนจะเดินทางกลับลำปางมาอยู่กับครอบครัวประมาณต้นเดือน ก.พ.64 แต่แล้วเมื่อกลางเดือน ธ.ค.63 เริ่มพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 จากตลาดกลางกุ้งจ.สมุทรสาคร และขยายวงกว้างมากขึ้นเรื่อย ๆ ลูกค้าเริ่มทยอยยกเลิกจองงานจัดเลี้ยงกับทางโรงแรมเกือบ 90% 25 ธ.ค.63 ผมจองตั๋วเครื่องบินกลับลำปางวันที่ 1 ม.ค.64 สถานการณ์พบผู้ติดเชื้อเพิ่มมากทุกวัน กทม.กลายเป็นพื้นที่สีแดง ผมจึงได้โทรประสานงานกับสาธารณสุขอำเภอเสริมงามและ อสม. โดยแจ้งประสงค์ว่าผมจะทำตามมาตรการเคร่งครัดทุกอย่าง ก่อนกักตัวในกระท่อมปลายนาท้ายหมู่บ้าน เพราะที่บ้านพักมีเด็กเล็กและมีผู้สูงอายุ (สมัครใจมากักเอง) วันที่ 1 ม.ค. 2564 ผมเดินทางถึงสนามบินจังหวัดลำปางและนั่งหลังรถกระบะเข้าสู่ที่กักตัวโดยไม่ได้สัมผัสใครและเว้นระยะห่างพร้อมสวมหน้ากากอนามัยป้องกันอยู่ตลอดเวลา ส่วนความรู้สึกที่ตั้งใจกักตัวเองในครั้งนี้ชายที่กักตัวกล่าวเพียงสั้น ๆ ว่า “ผมยอมโดดเดี่ยวเพื่อคนหมู่มาก” อย่างไรก็ตามการกักตัวของชายดังกล่าวเดินทางมาถึงวันที่ 4 (ณ วันที่4 ม.ค.2564) แล้ว เหลือเวลาอีก 10 วันหรือราวสองสัปดาห์ที่เขาจะต้องใช้ชีวิตตามลำพังในกระท่อมเล็ก ๆ จนกว่าทุกอย่างจะผ่านพ้นไป และเป็นไปตามมาตรการการคัดกรองที่สมบูรณ์ ที่สำคัญเพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวม เมื่อกลับบ้านจากพื้นที่เสี่ยงสีแดงและสีส้ม “ต้องกักตัวเอง 14 วัน”
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
ข่าวน่าสนใจ:
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: