โครงการอบรมพระธรรมทายาท เพื่อคัดเลือกวัดต้นแบบขับเคลื่อนโครงการวัดปลอดการพนันด้วยหลักพุทธธรรมภาคใต้
เมื่อวันที่ 21พย.2562 เวลา09:00น.muj วัด ลานแซะ โดยมีนางไพรัช วัฒนกุล ผู้ประส่นงานภาคใต้ฝ่ายฆารวาส นายใชัชพิสิฐ นคราวงค์ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพัทลุง และเจ้าอาวาสในแต่ละวัดมี วัดลาดแซะจ.พัทลุง วัดอนุสรณ์จ.สุราษฎร์ธานี วัดทุ่งไผ่จ.ชุมพร วัดชนทิปเฉลิมจ.สตูล วัดควนสีนวลจ.ตรัง วัดคลองเปลจ.สงขลา วัดคลองแหจ.สงขลา วัดตะโหมดจ.พัทลุง วัดบรูพารามจ.ปัตตานี วัดดอลทรายแก้วจ.ชุมพร ได้พูดคุยความคิดเห็นและหาทางออกเรื่องการเล่นพนันในวัดและขายสุรา
สังคมไทยกับการพนันมองไม่ออกว่ามีความผูกพันกันมายาวนานแค่ไหน แต่เมื่อศึกษาจากข้อมูลที่ศูนย์ศึกษาการพนันได้ศึกษาก็จะรู้ว่า “สังคมไทยมีการเล่นการพนันมาตั้งแต่พระเจ้าปราสาททองแห่งราชวงศ์พระร่วง สมัยอาณาจักรสุโขทัย สมัยนั้นคนมีการค้าขายกันระหว่างคนไทยและจีน สำหรับคนจีนมีการเล่นการพนันชนิดหนึ่งที่ชื่อว่าถั่วและโปโดยอนุญาตให้เล่นในบ่อนเฉพาะคนจีนที่มีความซื่อสัตย์และมีหลักฐานมั่นคงเท่านั้น”และคนไทยในยุคนั้นนิยมเล่นและติดการพนันกันเป็นจำนวนมาก จนมาถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา ทูตชาวฝรั่งเศสชื่อมองสิเออร์เดอลาลูแบร์ สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งตรง กับสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พ.ศ. 2230 ได้บันทึกพฤติกรรมของคนไทย และผลที่เล่นการพนันไว้ว่า “ชาวสยามอยู่ ข้างค่อนรักเล่นการพนันเสียเหลือเกิน จนถึงจะยอมผลาญตัวเองให้ฉิบหายได้ ทั้งเสียอิสรภาพ ความชอบธรรมของตัวหรือลูกเต้าของตัวด้วย ในเมืองนี้ใครไม่มีเงินพอจะใช้เจ้าหนี้ได้ก็ต้องขายลูกเต้าของตัวเองลงใช้หนี้สิน และถ้าแม้ถึงเช่นนี้แล้วก็ยังมิพอเพียง ตัวของตัวเองก็ต้อง กลายตกเป็นทาส”
นี้เป็นส่วนที่สังคม และคนไทยในอดีตเข้าไปเกี่ยวข้องกับการพนันเล่นถึงขั้นขายลูกเมีย และยิ่งกว่านั้นตัวเองถึงกับยอมเป็นทาสคนอื่นเพราะหมดเนื้อหมดตัว จากพฤติกรรมในอดีตได้ส่งผลต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน และสร้างปัญหาทางสังคมอีกมากมาย แต่สังคมไทยไม่มองว่าการเล่นการพนันเป็นปัญหา ศูนย์ศึกษาการพนันระบุว่า เมื่อการเล่นพนันไม่ใช่ปัญหา จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนไทยเกือบ 77% เคยเล่นการพนันมาแล้ว โดยผู้ที่มีอายุต่ำสุดในการเล่นพนันครั้งแรกมีอายุเพียง 7 ปี และสถานที่เล่นการพนันครั้งแรกๆมักอยู่ในบ้าน ละแวกบ้าน หรือในโรงเรียนคนเล่นพนันบางคนค่อยๆพัฒนาการเล่นจากวงเล็กไปสู่วงที่ใหญ่ขึ้นๆ และมีโอกาสกลายเป็น “นักพนัน” ในที่สุด
อาจารย์ผาสุก พงษ์ไพจิตร และคณะ ได้ทำการสำรวจและให้ข้อมูลในหนังสือ อุตสาหกรรมการพนันพบว่า ปี 2539-2541 ธุรกิจการพนันผิดกฎหมายสูงสุด 3 อันดับแรก คือ 1) หวยใต้ดิน 2)บ่อนเถื่อน และ3)พนันฟุตบอล การพนันเหล่านี้ทำเงินให้กับผู้ให้บริการการพนันสูงถึง 138,000-277,000 ล้านบาทต่อปี
สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทำการ สำรวจสถานการณ์การพนัน ซ้ำอีกรอบ พบว่า ปี2553 หวยใต้ดินยังครองแชมป์อันดับหนึ่งของการพนันไทยควบคู่กับสลากกินแบ่งรัฐบาล โดยมีการพนันในบ่อนและการพนันฟุตบอลติดอันดับตามมา และประมาณการจำนวนเงินที่สะพัดในอุตสาหกรรมการพนันตลอดทั้งปีสูงถึง 357,275 ล้านบาท
ส่วนตัวชี้วัด และเป้าหมาย
1.วัดต้นแบบปลอดพนันตามนิยาม รวมทั้งการไม่ขายหวย ลอตเตอรี่ภายในวัด ประกาศเป็นนโยบายของวัด และประชาชนให้การสนับสนุน ค่าเป้าหมายอย่างน้อย จำนวน 10 วัด
2. มีกลุ่มพระสงฆ์นักพัฒนาจำนวน 30 รูป ขยายเครือข่ายทำกิจกรรมสร้างสรรค์เกี่ยวกับเยาวชนจำนวน 50 โรงเรียนในภาคใต้
3.ได้สื่อสารสาธารณะให้เกิดการรับรู้การดำเนินโครงการค่าเป้าหมายมีสกู๊ปหรือข่าว วัดปลอดพนันอย่างน้อย 5 ชิ้นข่าว และมี เฟสบุ๊ค วัดปลอดพนัน เพื่อแพร่กิจกรรมอย่างน้อยเดือนละ 2-3 ชิ้น จำนวน 10 เดือน รวม 30 ชิ้นงาน
4.ได้ข้อเสนอเป็นเชิงนโยบายต่อฝ่ายนโยบายระดับภาคให้วัดเป็นสถานที่ปลอดพนันทุกชนิด ค่าเป้าหมาย จำนวน 1 เรื่อง
และผลที่คาดว่าจะได้รับ
1. พระสงฆ์เกิดการตื่นตัวในบทบาทหน้าที่ และมีข้อเสนอเป็นระดับนโยบาย
2. เกิดวัดต้นแบบปลอดการพนันด้วยหลักพุทธธรรมอย่างน้อย …10…..วัด
3. พระสงฆ์นักพัฒนาในพื้นที่วัดต้นแบบมีการจัดกิจกรรมเพื่อเยาวชนสร้างภูมิคุ้มกันปัจจัยเสี่ยง โดยการปลูกฝังจิตสำนึกพอเพียง
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: