สนธิกำลังชุดศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ,ต.ม. ,ต.ร.ท่องเที่ยวบุกตรวจนายทุนปล่อยเงินกู้รวมยึดทรัพย์สินกว่า 700 ล้านบาท
พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(ผบ.สตม.) ฐานะรองผู้อำนวยการ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้มอบหมายให้พลตำรวจตรีไพโรจน์ กุจิรพันธ์ หัวหน้าชุดตรวจค้นฯ , พันตำรวจเอกฉัตรมงคล แก้วประเสริฐ รองผู้บังคับการฯ สนธิกำลังชุดศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร) ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ตำรวจท่องเที่ยว ลงพื้นที่
ดำเนินการปิดล้อมตรวจค้นและตรวจยึดอายัดทรัพย์สิน ของนายทุนเงินกู้นอกระบบ นางสุรจิต กอปไพบูลย์กับพวกรวม 11 จุดตรวจค้นโดยแบ่งเป็นพื้นที่จังหวัดจันทบุรี 9 จุดพื้นที่จังหวัดตราด 2 จุด ผลการปฏิบัติการสามารถตรวจยึดทรัพย์สินดังนี้
1 บ้านพร้อมที่ดิน จำนวน 3 หลัง มูลค่า 12 ล้านบาท
2 อาคารพาณิชย์จำนวน 30 คูหา มูลค่า 30 ล้านบาท
3 โรงงานจำนวน 2 โรงงาน มูลค่า 60 ล้านบาท
4 ร้านค้าจำนวน1 ร้าน มูลค่า 5 ล้านบาท
5 รถยนต์จำนวน 7 คันมูลค่า 5,600,000บาท
6 รถบรรทุกจำนวน 1 คันมูลค่า 1 ล้านบาท
7 รถจักรยานยนต์จำนวน 2 คันมูลค่า 100,000 บาท
8 โฉนดที่ดินจำนวน 8 ฉบับมูลค่า 164 ล้านบาท เนื้อที่รวมประมาณ 82 ไร่
9 โฉนด จำนวน 200 ฉบับมูลค่า 500 ล้านบาท เงินสด 500,000 บาท
รวมทรัพย์สินมูลค่า 778 .3 ล้านบาท
พร้อมนี้ยังได้ตรวจยึดสมุดเอกสารข้อมูลลูกหนี้ พร้อมอุปกรณ์คอมพิวเตอร์อีกหลายรายการโดยพฤติกรรมดังกล่าว ได้รับร้องเรียนจากนางสาวนพสร รักศักดิ์อายุ 59 ปีอยู่บ้านเลขที่ 4 ทับ 94 หมู่ 2 ตำบลท่าช้างอำเภอเมืองจังหวัดจันทบุรีว่าถูกนายทุนเงินกู้รายนี้ยึดบ้านและที่ดินไปเป็นของนายทุนเป็นเหตุให้ได้รับความเดือดร้อนทางเจ้าหน้าที่จึงได้ดำเนินการตรวจสอบเรื่องร้องเรียนดังกล่าว
เนื่องจากเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2562 นางสาวนพสร รักศักดิ์ ได้มาแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนสภเมืองจังหวัดจันทบุรีและคณะพนักงานสอบสวนประจำสปสช ว่าได้ถูกนางสุรจิต กอปไพบูลย์ผู้ต้องหาที่ 1 และนายสิทธิพงษ์หรือป้อม กอปไพบูลย์ผู้ต้องหาที่ 2 ซึ่งเป็นมารดาและบุตร ร่วมกันหลอกลวงให้ทำสัญญาขายฝากที่ดิน เพื่ออำพรางสัญญาเงินกู้ยืม จนเป็นเหตุให้ผู้ต้องหาทั้งสองยึดที่ดินและบ้านพักอาศัยของนางสาวนพสร รักศักดิ์ไปเป็นของผู้ต้องหาทั้ง 2 และนอกจากนี้ยังทราบว่ามีผู้ต้องหากับพวกยังมีพฤติการณ์เป็นนายทุนเงินกู้นอกระบบ มีผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงและเก็บดอกเบี้ยเงินกู้สูงเกินกว่ากฎหมายกำหนดอีกจำนวนมาก พนักงานสอบสวนสภเมืองจันทบุรีและคณะพนักงานสอบสวนตามคำสั่งตร. ที่ 577/0561 จึงได้ร่วมกันสอบปากคำนางสาวนพสร รักศักดิ์ในฐานะผู้เสียหายโดยนางสาวนพสร รักศักดิ์ประสงค์ให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับนางสุรจิต กอปไพบูลย์กับพวกในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงินหรือกระทำการใดๆ อันเป็นลักษณะอำพรางให้กู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ย เกินอัตราที่กฎหมายกำหนด
ต่อมาพนักงานสอบสวน ได้สอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน พบว่ามีผู้เสียหายที่ถูกผู้ต้องหาทั้งสองนี้ หลอกลวงและยึดเอาทรัพย์สินตลอดจนที่ดินจำนวนหลายรายการ ความเสียหายเบื้องต้นที่ตรวจสอบพบขณะนี้ประมาณ 263,592,600 บาท ผู้เสียหายเหล่านี้ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้ต้องหาไว้แล้ว โดยยืนยันว่า นางสุรจิต กอปไพบูลย์ กับนายสิทธิพงษ์ กอปพบูลย์ ผู้ต้องหาซึ่งเกี่ยวข้องเป็นแม่ลูกกันนั้นร่วมกันเป็นนายทุน เงินกู้นอกระบบคิดอัตราดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดเป็นอาชีพหลักและมีนายหน้าและประชาชน ทั่วไป สามารถบอกต่อกันได้โดยปากต่อปากซึ่งในการปล่อยกู้เงินกู้ของผู้ต้องหา นั้น ก็จะแยกออกได้เป็น 2 กรณีคือ
1 เงินกู้รายใหญ่จำนวนเงินสูงผู้ต้องหาจะให้ผู้กู้นำที่ดินมาค้ำประกันโดยการทำสัญญาจำนองฝากขาย และ ซื้อขายโดยหลอกลวงว่าสามารถไถ่หรือซื้อที่ดินคืนได้ เป็นเหตุให้มีผู้หลงเชื่อนำที่ดินมาจดทะเบียนทำนิติกรรมกับนาง สุรจิต กับพวกจำนวนมาก ซึ่งเมื่อประชาชนหลงเชื่อ เข้าทำสัญญาแล้วผู้ต้องหา ก็จะกำหนด วงเงินไถ่คืนไว้สูงกว่ายอดเงินที่กู้ยืม มีการเก็บดอกเบี้ยล่วงหน้าขณะทำสัญญา และเก็บเรื่อยมาตลอดสัญญา มีการนำดอกเบี้ยมารวมเป็นเงินต้น คิดต้นทบดอกบางรายเมื่อครบกำหนดวันไถ่ถอนก็จะไม่สามารถติดต่อผู้ต้องหากับพวกได้ ผู้ต้องหาจึงอ้างเหตุยึดเอาที่ดินนั้นเป็นของตนเอง
2 เงินกู้รายเล็กจำนวนเงินไม่สูงผู้ต้องหาจะทำสัญญาเงินกู้โดยให้ผู้กู้ลงลายมือชื่อไว้ในสัญญาเปล่าโดยไม่มีการกรอกข้อความระบุจำนวนเงินในสัญญาหากผู้กู้ผิดสัญญาก็จะดำเนินการฟ้องร้องโดย ระบุยอดเงินกู้ใน สัญญา สูงกว่าที่กู้จริงซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวทำให้ประชาชน ขาดโอกาสได้รับความเดือดร้อนจำนวนมาก
การกระทำของผู้ต้องหาทั้งสองดังกล่าวข้างต้นเป็นความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงิน หรือกระทำการใดๆอันมีลักษณะเป็นการอำพรางให้กู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินกว่า อัตราที่กฎหมายกำหนดอันเป็นความผิดตาม พรบ ป้องกันและปราบปราม การฟอกเงิน 2543 ขณะนี้เจ้าหน้าที่ ตำรวจได้แจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ต้องหาทั้งสองทราบแล้ว และรายงานข้อมูลคดีไปยังเพื่อดำเนินการตรวจสอบยึดอายัดทรัพย์สินตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: