พระนครศรีอยุธยา-ชาวบ้านยังผวา โรงงานขยะพิษลักลอบปล่อยอีก เผยสุดแค้น ผจก.จวกชาวบ้านร้องเรียน”ไม่เห็นตายกันสักที”วอนให้หน่วยงานรัฐคุมเข้มมากกว่านี้
จากการที่เมื่อวันที่ 14 ก.ย. ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดีที่ ส.14/2557 คดีหมายเลขแดงที่ ส.89/2561 ที่ นายเสถียร ผิวหอม กับพวกรวม 94 คน ซึ่งเป็นชาวบ้านในพื้นที่ตำบลลาดบัวหลวง และตำบลสามเมือง จ.อยุธยา ยื่นฟ้องสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กับพวกรวม 5 คน กรณีใช้อำนาจโดยมิชอบและละเลยการปฏิบัติหน้าที่ปล่อยให้ บริษัท ซีฟี้ อินดัสตรี้ ขยายโรงงานและประกอบกิจการหลอมหล่อโลหะประเภททองแดง จนเป็นเหตุให้เกิดปัญหามลพิษในพื้นที่ชุมชนใกล้เคียง ทั้งน้ำเสีย และกลิ่นเหม็น โดยกลุ่มผู้ฟ้องคดีได้ขอให้ศาลปกครองมีคำพิพากษา หรือคำสั่งให้เพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการหลอมหล่อโลหะและขนเครื่องจักรออกนอกบริเวณโรงงาน
โดยศาลปกครองเห็นว่า การที่ บริษัท ซีฟี้ อินดัสตรี้ ได้รับใบอนุญาตขยายโรงงานครั้งที่ 1 ในวันที่ 2 ส.ค.2556 ให้ประกอบกิจการหลอมหล่อโลหะผสมจากโลหะมีค่าที่ผ่านกระบวนการสกัดโลหะผสมจากโลหะมีค่าผ่านกระบวนการสกัดโลหะมีค่าและจากชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ที่บดย่อยแล้วนั้น ตาม พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ. 2535 กำหนดเงื่อนไขให้ต้องมีระบบขจัดมลพิษทางอากาศจากการหลอมโลหะที่มีขนาดและประสิทธิภาพเพียงพอ โดยไม่ก่อให้เกิดเหตุเดือดร้อนต่อผู้อยู่กาศัยใกล้เคียง แต่หลังจากบริษัท ซีฟี้ อินดัสตรี้ ได้รับใบอนุญาตดังกล่าวแล้ว มีการทำการทดลองเครื่อจักรแต่ทำให้เกิดปัญหาความเดือดร้อนในพื้นที่ใกล้เคียง สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จึงให้ระงับการทดลองดังกล่าว แต่ภายหลังบริษัท ซีฟี้ อินดัสตรี้ ได้ขอทดลองเครื่องจักรอีกหลายครั้ง แต่ก็เกิดปัญหารูปแบบเดิม ทั้งนี้ ศาลเห็นว่า แม้ สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จะมีคำสั่งให้หยุดทดลองใช้เครื่องจักรทุกครั้งที่มีปัญหา แต่เมื่อบริษัท ซีฟี้ อินดัสตรี้ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ทั้งที่ให้โอกาสแก้ไขปรับปรุงมาหลายครั้ง จึงมีเหตุอันสมควรให้สั่งปิดโรงงานดังกล่าวได้ แต่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กลับไม่ดำเนินการ จึงถือได้ว่าเป็นการกระทำที่ละเลยต่อหน้าที่
นอกจากนั้น ยังพบอีกว่า ในปี 2559 บริษัท ซีฟี้ อินดัสตรี้ ได้ยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตดังกล่าว ซึ่งสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้ต่อใบอนุญาตให้จนถึงปี 2564 ศาลปกครองจึงเห็นว่า ความเดือดร้อนเสียหายในคดียังไม่สิ้นสุด ศาลจึงต้องมีคำบังคับให้เพิกถอนใบอนุญาตขยายโรงงานดังกล่าวนับตั้งแต่วันออกคำสั่งเมื่อปี 2556 และมีผลเป็นการปิดโรงงานของบริษัท ซีฟี้ อินดัสตรี้ ในส่วนที่ได้รับอนุญาตให้ขายโรงงานประกอบกิจการดังกล่าวด้วย และให้สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกันดำเนินการผูกมัดประทับตราเครื่องจักรของบริษัท ซีฟี้ อินดัสตรี้ ที่ใช้ประกอบกิจการหลอมหล่อโลหะฯ จนกว่าบริษัทดังกล่าวจะได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการดังกล่าว ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่คดีถึงที่สุด
ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยังโรงงานดังกล่าวอยู่ห่างจากถนนประมาณ 200 เมตร พบว่าภายในโรงงานยังมีการทำงาน แต่ไม่มีการหล่อหลอมโลหะหรือมีการปล่อยควันพิษออกมาแต่อย่างใด นายเฉลียว ศิลากาญจน์ อายุ 64 ปี สมาชิกสภาเทศบาลตำบลลาดบัวหลวง อดีตผู้ใหญ่บ้านหมู่ 2 ต.ลาดบัวหลวง ซึ่งมีบ้านอยู่ใกล้กับโรงงานหลอมทองแดงดังกล่าว และยังเป็นหนึ่งในผู้ที่ร้องเรียนและต่อสู้ เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้ทราบว่าศาลปกครองกลางมีคำสั่งหยุดโรงงานดังกล่าว ชาวบ้านทุกคนต่างดีใจอย่างมาก เนื่องจากการต่อสู้ร้องขอความช่วยเหลือที่ผ่านมา ชาวบ้านร้องเรียนด้วยความบริสุทธิ์ใจ เพียงต้องการให้หยุดการปล่อยควันพิษที่สร้างความเดือดร้อนเท่านั้น โดยตนได้ใช้เวลาร้องมานานประมาณ 6 ปี จนกระทั่งมาถึงศาลปกครอง ก็ต้องดูต่อไปว่าโรงงานจะดำเนินการต่อไปหรือไม่อย่างไร แต่ยืนยันว่าชาวบ้านไม่เอาโรงงานแห่งนี้แล้ว แม้ว่าจะมีความพยามยามที่จะปรับปรุงแก้ไขอย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้ก็พบว่ายังมีการทำงานภายในอยู่ แต่ไม่พบว่ามีการปล่อยควันพิษเหมือนที่ผ่านมา
ด้านนางทองหยิบ คลังวัฒนานนท์ อายุ 66 ปี บ้านอยู่ 97 หมู่ 2 ต.ลาดบัวหลวง บอกว่าตนได้รับผลกระทบอย่างมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องจากบ้านอยู่ใกล้ จนปัจจุบันยังเป็นภูมิแพ้ รักษาไม่หาย มีอาการแสบจมูก เจ็บคอเป็นประจำ เมื่อศาลตัดสินแล้วก็ดีใจที่จะไม่มีปัญหาเกิดขึ้น แต่ก็ไม่สบายใจเนื่องจากพบว่ายังมีการทำงานอยู่ แม้จะยังไม่ปล่อยควันพิษออกมา แต่ก็กลัวจะกลับมาอีก อยากให้หน่วยงานเกี่ยวข้องมาตรวจสอบและดำเนินการปิดโรงงานนี้ไปเลย ที่สำคัญคือชาวบ้านทุกคนยังมีความโกรธแค้นตัวแทนโรงงานที่มาเจรจากับชาวบ้านในวันประชุมแก้ปัญหา โดยบอกว่า ชาวบ้านร้องเรียนอยู่ได้ ไม่เห็นมีใครตายสักที ทำให้ชาวบ้านโกรธมาก และไม่ยอมรับโรงงานแห่งนี้ต่อไป
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: