สั่งรื้ออาคารยักษ์ริมทะเลบ้านสุขาวดี..หลังผลอุทธรณ์คำส่งเมืองพัทยาไม่ผ่านการพิจารณา เร่งปิดหมาย ค.7 ให้รื้อถอนอาคารใน 15 วัน รองปลัดพัทยาระบุงานนี้เอาจริงแม้จะยื้อร้องศาลปกครองแต่มั่นใจหลักฐานแน่น
ไม่พลาดทุกกระแสร้อนชลบุรี-พัทยา กดรับข่าว “พัทยานิวส์”ผ่านไลน์ได้แล้ววันนี้
ข่าวน่าสนใจ:
- กกต.ตรัง พร้อมเปิดสนาม จัดเลือกตั้งอบจ. เปิดยิม 4,000 ที่นั่งรับสมัคร พื้นที่กว้างขวางรองรับกองเชียร์ผอ.กกต.ตรัง เผยการข่าวพบ 3…
- พบช้างป่าอยู่ใกล้ที่ทำร้ายคนเสียชีวิตเร่งผลักดันหวั่นเกิดเหตุซ้ำ จ.ปราจีนบุรี
- นายก อบจ.ระยอง ประกาศลาออกก่อนครบวาระ 1 วัน พรัอมลงชิงชัยตำแหน่งนายก อบจ.ระยอง อีกหนึ่งสมัย
- เครื่องกั้นรถไฟคลองแขวงกลั่นพังบ่อย ล่าสุดลงปิดขวางถนนนานข้ามคืน
วันนี้ (25 มี.ค.) นายสุธรรม เพ็ชรเกตุ รองปลัดเมืองพัทยา รักษาราชการแทนปลัดเมืองพัทยา มอบ หมายให้ นายเกียรติศักดิ์ ศรีวงษ์ชัย รองปลัดเมืองพัทยา นำเจ้าหน้าที่จากสำนักการช่างเมืองพัทยา และกำลังเจ้าหน้าที่เทศกิจ ลงพื้นที่บริเวณอาคารริมทะเล “บ้านสุขาวดี” ม.2 ต.นาเกลือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เพื่อติดประกาศหมายผลการอุทธรณ์ และประกาศคำสั่งของเมืองพัทยา กรณีการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่สาธารณะของ “บ้านสุขาวดี” ซึ่งได้มีการจัดทำประโยชน์ และการก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่จำนวน 1 อาคาร ขนาดเล็ก 2 อาคาร บริเวณที่ดินสาธารณะริมทะเลขนาดใหญ่จำนวน 11 ไร่ริมทะเลโดยไม่ได้รับอนุญาตและบุกรุกที่ดินสาธารณประโยชน์ ซึ่งกรณีนี้ถือเป็นปัญหาเรื้อรังมาเป็นเวลานาน ทั้งนี้ได้สั่งการให้นายช่างตรวจเขตทำการปิดประกาศแจ้งผลการอุทธรณ์คำสั่งเมืองพัทยากรณีที่ทาง “บ้านสุขาวดี” ในนาม บ.เฮลท์ฟู้ดส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) ได้ร้องเรียนต่อคณะกรรมการอุทธรณ์จังหวัดชลบุรี ว่าคำสั่งเมืองพัทยาไม่ชอบด้วยกฎหมายสร้างความไม่เป็นธรรมและภาระแก่บริษัทฯ ด้วยที่ดินที่มีการระบุว่าเป็นที่สาธารณะนั้นเป็นที่ดินที่งอกจากโฉนดของทางบริษัทฯ ซึ่งเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ มีผลให้ทางบริษัทฯ มีกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินนั้น และปัจจุบันยังคงเป็นข้อพิพาทระหว่างการขอออกโฉนดที่ดิน ณ สำนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรี สาขาอำเภอบางละมุง ซึ่งยังไม่แล้วเสร็จ ขณะที่อาคารทั้งหมดสามารถดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องตามกฎหมายได้ แต่หนังสืออุทธรณ์ดังกล่าวพบว่าเจ้าของอาคารมีผู้ลงนามในหนังสือคำอุทธรณ์ในการยื่นร้องต่อคณะกรรมการจำนวน 2 รายนั้น หนังสือไม่ปรากฏการประทับตราสำคัญของทาง บริษัทฯ แต่อย่างใด จึงถือว่าเป็นการอุทธรณ์ที่ไม่มีผลผูกพันกับบริษัทฯจึงไม่เป็นผู้อุทธรณ์ที่ถูกต้อง และผู้ร้องทั้ง 2 มิใช้ผู้รับคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่น จึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 51 แห่ง พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร วินิจฉัยไม่รับอุทธรณ์ไว้พิจารณา
พร้อมกันนี้ได้ปิดหมายประกาศคำสั่งแบบ ค.7 ที่ลงนามโดยนายสนธยา คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา เพื่อให้ทำการรื้อถอนอาคารดังกล่าวภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือ ซึ่งหากพ้นกำหนดแล้วไม่มีการดำเนินการใดๆ เมืองพัทยาก็จะเข้าทำการรื้อถอนเอง โดยทางบ้านสุขาวดีจะต้องเป็นผู้ชดใช้ค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนรวมเป็นเงินจำนวน 822,780 บาท พร้อมเงินรายวันในอัตราร้อยละ 20 ต่อปีของค่าใช้จ่ายดังกล่าว และค่าปรับบังคับการไม่เกิน 50,000 บาท โดยหากไม่มีการชำระเงินก็จะได้นำทรัพย์สินขายทอดตลาดต่อไป
นายเกียรติศักดิ์ เปิดเผยว่าขณะนี้ผลการพิจารณาการอุทธรณ์คำสั่งเมืองพัทยามีผลอย่างเป็นทางการแล้วว่าไม่ผ่านการพิจารณาเมืองพัทยาจึงได้นำเอกสารมาปิดประกาศเพื่อแจ้งให้ทางผู้ร้องได้รับทราบ ทั้งในส่วนของอาคาร A,B และ C โดยในส่วนของอาคาร A นั้นเป็นอาคารขนาดใหญ่ลักษณะเป็นอาคารโครงเหล็ก 2 ชั้น ขนาด 18.30x 55.30 เมตร จำนวน 1 หลัง และป้ายโครงสร้างเหล็กขนาด 10×13 เมตรจำนวน 2 ป้าย จึงได้ทำการปิดหมายคำสั่งตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร แบบ ค.7 เพื่อให้รื้อถอนอาคารภายใน 15 วันหลังนับแต่วันที่ปิดประกาศ ซึ่งกรณีนี้หากไม่มีการร้องอุทธรณ์ต่อศาลปกครองและไม่มีคำสั่งในการคุ้มครองชั่วคราว เมืองพัทยาก็จะเข้ามาดำเนินการรื้อถอนทันที โดยส่วนแรกจะมีการล้อมรั้วพื้นที่ดินสาธารณะทั้ง 11 ไร่ ก่อนที่จะนำบุคลากร และเครื่องกลหนักมาทำการรื้อถอนอาคารตามขั้นตอน
ส่วนกรณีของอาคาร B และ C นั้น ซึ่งเป็นอาคาร ค.ส.ล. ขนาด 35×40 เมตรจำนวน 1 หลัง และอาคาร ค.ส.ล. ขนาด 5×15 เมตรจำนวน 1 หลังบริเวณริมทะเล ที่ได้มีการก่อสร้างโดยไม่ได้รับอนุญาต และดำเนินการที่ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดของกฎหมายในการเว้นระยะจากระดับน้ำทะเลขึ้นสูงขึ้นในระยะ 20 เมตร ปัจจุบันได้เสนอเรื่องต่อนายกเมืองพัทยาเพื่อลงนามคำสั่งการรื้อถอนตามแบบ ค.15 เนื่องจากเป็นอาคารที่ปลูกสร้างบนที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์ ซึ่งแตกต่างจากอาคาร A ที่ดำเนินการบนที่ดินสาธารณะประโยชน์
นายเกียรติศักดิ์ กล่าวต่อไปว่าการดำเนินการทั้งหมดเป็นการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่และถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ส่วนกรณีที่ว่าหากหลังจากวันปิดประกาศแล้วทาง “บ้านสุขาวดี” จะไปร้องต่อศาลปกครองเพื่อขอความเป็นธรรม หรือขอให้การมีคุ้มครองชั่วคราวนั้น กรณีนี้คงไม่ได้รู้สึกกังวลแต่อย่างใด เนื่อง จากเมืองพัทยามีหลักฐานของการตรวจสอบที่ดินแปลงนี้อย่างครบถ้วน ทั้งภาพถ่ายทางอากาศ การรังวัด และระวางที่ดิน ส่วนที่มีข้อพิพาทการร้องขอออกโฉนดต่อสำนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรี สาขาอำเภอบางละมุง นั้นก็จะนำหลักฐานโดยเฉพาะประเด็นเรื่องของที่ดินสาธารณะ และการก่อสร้างโดยไม่ได้รับอนุญาต พร้อมจัดทำหนังสือคัดค้านเสนอนายกเมืองพัทยาเพื่อลงนามก่อนส่งต่อให้กับสำนักงานที่ดินประกอบในการพิจารณาต่อ ไปด้วย ซึ่งยืนยันว่าเมืองพัทยาจะดำเนินการด้วยความเป็นธรรมและให้เกิดความถูกต้องที่สุด…
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: