นับจากปี 2525 ภายหลังที่การสู้รบในสมรภูมิการสู้รบได้ยุติลง ทหารโดยกองทัพภาคที่ 3 ได้สนองตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว(รัชการที่ 9) ที่ทรงให้รับสั่งไว้เมื่อครั้งเสร็จเยี่ยมทหารค่ายสฤษดิ์เสนาในครั้งนั้น “โครงการพัฒนาลุ่มน้ำเข็ก” จึงเริ่มตามโครงการพระราชดำรัส โดยทหารได้จัดที่ดินที่อยู่อาศัยและที่ทำกินให้กับราษฏรอาสาสมัครที่ขึ้นมาช่วยรบ (รอส.) นับแต่นั้นเป็นต้นมาโดยพื้นที่ดังกล่าวจำนวน 1.2 แสนไร่ที่กองทัพภาคที่ 3 ได้รับอนุญาตจากกรมป่าไม้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งในเวลาต่อมา เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2529 ได้มีประกาศกฏกระทรวงตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 เป็นป่าสงวนแห่งชาติเขาปางก่อและวังชมพู ทับที่อยู่และที่ทำกินของราษฏรที่ทหารพาชาวบ้านขึ้นมาอยู่ หรือแม้แต่หน่วยราชการในพื้นที่ก็ตกอยู่ในป่าสงวนฯ ทันทีถึงแม้ทภ.3 จะออกกฏเกณฑ์/ระเบียบข้อบังคับของรอส.ซึ่งมีสาระสำคัญว่า ห้ามขาย ห้ามโอนสิทธิ ยกเว้นการสืบทอดทางทายาท แต่เนื่องจากชาวบ้านผู้ยากไร้ถูกทอดทิ้งจากทางการที่ไม่ให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ทำการเกษตรอยู่ในสภาพไม่คุ้มทุน เกิดภาวะหนี้สินล้นพ้นตัว จึงได้ทำผิดกฎระเบียบที่ได้สัญญาไว้กับทหาร โดยได้นำที่ดินที่ทางการให้ไว้ออกเสนอขายให้กับนักท่องเที่ยวที่หลงใหลในธรรมชาติ ซึ่งในพื้นที่ของเขาค้ออยู่ในสภาพภูมิอากาศที่เอื้ออำนวย หนาวเย็นตลอดปี
การซื้อขายที่ดินดังกล่าวในสมัยนั้นก็มิได้รับการทักท้วงจากหน่วยงานราชการที่รับผิดชอบแต่อย่างใด นักท่องเที่ยวที่หลงใหลในพื้นที่ จึงได้คิดก่อสร้างบ้านพักตากอากาศโดยขอบ้านเลขที่จากฝ่ายปกครอง ก็ได้รับอนุญาต อีกทั้งสาธารณูโภคน้ำ ไฟ ก็ได้รับจากหน่วยงานอย่างครบครันอันรวมถึงนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวในหลายหน่วยงานของภาครัฐ จึงเกิดความเข้าใจว่าทางราชการส่งเสริมจึงได้พัฒนาเป็นที่พักและรีสอร์ทอย่างที่เห็นอย่างมากมายในปัจจุบัน
ความเป็นมาโดยสังเขปนี้คือ สัจจะธรรมของขุนเขาแห่งนี้ ท่ามกลางการนิยมการบริโภคสื่อแห่งยุคโซชียล 4.0 จึงทำให้คนเขาค้อตกเป็นผู้ต้องหาในการบุกรุกป่าสงวนฯ ตามที่ภาครัฐกล่าวอ้างและตั้งข้อหาแบบไม่เป็นธรรมให้กับคนเขาค้อ
คำถามที่คนเขาค้อ อยากจะถามสังคมภายนอก…??
- ทหารพาชาวบ้านขึ้นมาอยู่ใช่หรือไม่ แม้กระทั่งนายอำเภอเขาค้อในปัจจุบันก็ยืนยันแล้วตามคลิปข่าว ดังนั้นจะมากล่าวหาว่าคนเขาค้อบุกรุกป่าสงวนฯ ได้หรือ..?? ตกลงว่าจะให้เป็น “ผู้บุกเบิก” หรือ “ผู้บุกรุก” ถ้าจะให้เป็น “ผู้บุกรุก” ก็เท่ากับเข้าสุภาษิต “เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล”
- กลุ่มคนที่ขึ้นมาอยู่ใหม่บนเขาค้อ ที่ทางการให้เกียรติเรียกว่า “กลุ่มนายทุน” นั้น ในการได้ที่ของรอส.มานั้นเกิดจากการเสนอขายที่ดินเพื่อการอยู่รอด จริงหรือไม่..?? และกลุ่มนายทุน ได้ช่วยทางการพัฒนาการท่องเที่ยวที่หลายหน่วยงานส่งเสริมหรือไม่…?? เกิดการจ้างคนงาน การจำหน่ายพืชผลเกษตร เศรษฐกิจถูกพัฒนาจากการท่องเที่ยว จนจังหวัดเพชรบูรณ์ได้ถูกจัดชั้นในลำดับหนึ่งของประเทศใช่หรือไม่…??
- การที่ประชุมของหน่วยงานราชการป่าไม้ ทหารและฝ่ายปกครอง ที่มีนโยบายให้หน่วยราชการในพื้นที่ 83 แห่ง ขออนุญาตใช้พื้นที่ให้ถูกต้องต่อกรมป่าไม้เนื่องจากอยู่ในพื้นที่ ๆ ผิดกฎหมายในขณะที่ประชาชนในพื้นที่ก็ขอใช้/ขออนุญาตเช่นกันกลับไม่มีคำตอบ เป็นการเลือกปฏิบัติใช่หรือไม่…??
- การปลูกสร้างบ้านพัก ที่พักของคนขึ้นมาอยู่ใหม่ หรือแม้แต่ของรอส.เอง การปลูกสร้างดังกล่าวแต่ละแห่งใช้เวลานาน และดำเนินการมาแล้วนับสิบ ๆ ทั้งที่ทางราชการก็รับรู้มาโดยตลอด เป็นการละเว้นการปฏิบัติงานในหน้าที่หรือไม่…? หรือแม้แต่ป้ายการบอกว่าเป็นเขตป่าสงวนฯ ก็ไม่เคยเห็น จะมาจับกุมให้ราษฏรเป็นจำเลย แล้วถ้าราษฏรเป็นโจทก์ฟ้องท่านเป็นจำเลยบ้างท่านจะรู้สึกอย่างไร…??
- คนเขาค้อขอเพียงสิทธิการอยู่บนเขาค้อโดยไม่ถูกทางราชการรบกวน และขอใช้พื้นที่ตามระเบียบของกรมป่าไม้ ซึ่งสามารถอนุญาตได้เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นลุ่มน้ำ 3-4 ที่คนภายนอกเข้าใจว่าเป็นป่าต้นน้ำชั้น 1-2 โดยยอมเสียค่าธรรมเนียมทุกประการให้แก่รัฐโดยไม่ได้ขอกรรมสิทธิ์แต่อย่างใด ถ้ามีเหตุขัดข้องควรแจ้งให้ประชาชนทราบ
- พื้นที่เขาค้อรัฐมีนโยบายให้ทำกินและทวงคืนจริงหรือ…?? ทั้งที่พื้นที่ของอ.เขาค้อมีป่ามากกว่า 60 % อยู่แล้ว ถ้าทวงคืนแล้วจะเอาพื้นที่ไปทำอะไรหรือ..? อนุญาตให้ทำกังหันลมเพิ่มหรือ…??
- ยุทธการทวงคืนพื้นที่ในครั้งนี้ ไม่ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายและประชาชนถูกมัดมือชก ไม่เปิดโอกาสให้ซักถาม ฯ ขัดกับนโยบายแห่งรัฐที่มีนโยบายที่จะคืนความสุขให้กับประชาชน หรือจะเพิ่มความทุกข์ให้กับประชาชน…? หรือทำเพื่อผลงาน เพื่อเลื่อนชั้นของข้าราชการในพื้นที่…??
คนนิรนามแห่งขุนเขา
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: