https://youtu.be/fPhx_qRbev0
ชุมพร ตร.ชั่วสื่อเลว !! อ้างตำรวจท่องเที่ยว -นักข่าวยัดรับของโจรรีด 8 หมื่น
เมื่อเวลา 16.00 น.วันที่ 1 เมษายน 2563 นายสุรินทร์ กาลสังข์ อายุ 39 ปี เจ้าของร้านรับซื้อของเก่าชื่อ “ ออ ค่าของเก่า” เลขที่ 109/1 หมู่ 1 ตำบลบางหมาก อ.เมือง จ.ชุมพร เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อ ร.ต.อ.หญิงนันทิยา รักดี รอง สว.(สอบสวน) สภ.เมืองชุมพร โดยกล่าวว่าช่วงเวลา 20.30 น.ของวันที่ 31 มีนาคม 2563 ได้มีกลุ่มบุคคลอ้างเป็นตำรวจท่องเที่ยวจากส่วนกลางและนักข่าวซึ่งไม่ทราบชื่อนามสกุลจริง แต่บางคนตนจำชื่อเล่นได้ ทั้งหมดจำนวน 9 คน บุกเข้ามาในร้านรับซื้อของเก่าโดยไม่มีหมายค้น ได้ทำการข่มขู่อ้างว่าตนเองมีความผิดรับซื้อของโจรแล้วบังคับข่มขู่เอาเงินไปจำนวน 8 หมื่นบาท
ข่าวน่าสนใจ:
- ชมรมโฮปฯ ร่วมกับชุมชน จัดกิจกรรม ซานตาโฮป แจกของขวัญให้กับเด็กในชุมชนกว่าพันชิ้น
- ระทึก เพลิงไหม้บ้าน 2 ชั้นวอดทั้งหลัง น้องแมว 7 ชีวิต รอดตายหวุดหวิด โดย 3 ตัวโดนไฟลวกบาดเจ็บ
- นนทบุรี หนุ่ม 16 ขับเบนช์ เสียหลักเหินขึ้นไปคาอยู่บนรถ 6 ล้อรอดตายปาฏิหาริย์
- ชายวัย 50 ปี เปลี่ยนถังแก๊สเอง จุดเตาทำกับข้าวไฟพรึ่บคลอกเจ็บหนัก
นายสุรินทร์กล่าวว่าตนมีอาชีพรับซื้อของเก่าและซากรถเก่ามีใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมายโดยช่วงค่ำของคืนวันที่ 31 มีนาคม 63 ที่ผ่านมาได้มีกลุ่มบุคคลอ้างเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบจำนวน 5 คน พนักงานไฟแนนซ์ 1 คน นักข่าว 3 คน บุกเข้าไปตรวจค้นตรวจยึดซากรถยนต์เก่าซึ่งเป็นซากรถที่หมดอายุการใช้งาน และซากรถยนต์ที่เกิดอุบัติเหตุที่ไม่สามารถใช้ขับขี่ได้ ซึ่งเจ้าของได้ขายให้กับตนและบางส่วนก็เป็นซากรถยนต์ที่ตนไปประมูลมา เข้ามาตรวจยึดแล้วอ้างโน่นอ้างนี่สารพัด อีกทั้งไม่มีผู้เสียหายมาชี้แสดงตัวด้วย และตนก็มีหลักฐานให้ดูครบทุกอย่าง แต่ยังพยายามข่มขู่จะหาเรื่องจับตนให้ได้ ขณะที่พนักงานบริษัทไฟแนนซ์ ทำทีตรวจซากรถบอกว่าเป็นรถยนต์ของบริษัทตนเอง ที่ถูกคนซื้อแล้วไม่ผ่อนส่งนำมาขายไว้ที่นี่ ส่วนนักข่าวทั้ง 3 คน ก็ถ่ายภาพทำข่าวลักษณะเหมือนเป็นการข่มขู่ให้ตนเกิดความหวาดกลัว
นายสุรินทร์กล่าวว่าแต่ตนก็ไม่ยอม เพราะไม่มีความผิดอะไร ตำรวจนายหนึ่งที่คนในกลุ่มเรียกว่า “หมวดตุ้ม” ไปตรวจซากคัสซีรถแล้ว บอกว่าตัวเลขคัสซีถูกลบตัดแต่ง ถือเป็นการเปลี่ยนแปลง ทำลายหลักฐานตัวเลขรถมีความผิดตามกฎหมาย นอกจากนั้นยังจะยึดรถยนต์จำนวน 2 คัน ที่เจ้าของนำมาจอดซ่อมเปลี่ยนอะไหล่เก่า โดยมีพนักงานไฟแนนซ์ได้ชี้ยืนยันว่าเป็นรถของบริษัทที่ไม่จ่ายค่างวดแล้วลักลอบนำมาขายไว้กับตน ต่อมาตนได้ติดต่อเจ้าของผู้ครอบครองรถทั้ง 2 คันมาที่เกิดเหตุโดยเจ้าของรถยนต์ทั้ง 2 คัน ได้นำหลักฐานมาแสดงถูกต้องและยังจ่ายค่างวดผ่อนส่งตามปกติไม่เคยขาดและบอกว่าได้นำมาจอดซ่อมไว้จริง แต่กลุ่มคนที่อ้างเป็นตำรวจยังไม่ยอมหยุดพฤติกรรมข่มขู่ บอกว่าซากรถหลายคันที่ตนรับซื้อมาเป็นของโจร และพยายามพูดจะให้ตนเคลียร์ตลอดเวลา แต่ตอนไม่ยอม จากนั้นพาตนไปทำบันทึกการจับกุมที่หน้าบ้าน โดยพิมพ์ในคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คแล้วใช้เครื่องปริ้นเป็นกระดาษ A4 ออกมาจำนวน 5 แผ่น พร้อมกับจะให้ตนเซ็นต์รับเป็นผู้ต้องหา ซึ่งตนไม่ยอมเซ็นต์ เพราะไม่มีความผิดตนทำทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่ระหว่างพูดคุยขณะตำรวจเผลอตนได้แอบใช้โทรศัพท์มือถ่ายเอกสารบันทึกการจับกุมดังกล่าวไว้ได้ทั้งหมดจำนวน 5 แผ่นด้วย
นายสุรินทร์กล่าวว่าจนกระทั่งเวลาผ่านไป 4-5 ทุ่ม ดึกมากแล้วคนที่อ้างเป็นตำรวจยังพยายามพูดข่มขู่แล้ว ทำทีโทรศัพท์เรียกรถยนต์มายกของกลางไปไว้ที่โรงพัก แล้วบอกว่าถ้าจะเคลียร์นายสั่งให้จ่ายเงินมา 150,000 บาท (หนึ่งแสน 5 หมื่นบาท) หากไม่ยอมจ่ายจะถูกดำเนินคดีรับฐานรับซื้อของโจรมีโทษหนักจำคุกถึง 5 ปี ด้วยความกลัวเพราะเป็นเวลากลางคืนดึกมากแล้วตนและภรรยาจึงแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้รอดพ้นไปก่อนจึงได้เจรจาต่อรองตกลงกันจนเหลือ 8 หมื่นบาท แต่ตนและภรรยามีเงินสดอยู่เพียง 42,000 บาท จึงได้โทรศัพท์ให้เพื่อนสนิทมาหาเพื่อขอยืมเงินที่เหลือแต่เพื่อนไม่มีเงินสด ตนจึงมอบเงินจำนวน 42,000 บาท ให้กับเพื่อนส่วนที่เหลืออีกจำนวน 38,000 บาท ให้เพื่อนไปกดที่ตู้เอทีเอ็มในปั้มน้ำมันแห่งหนึ่งริมถนนสายชุมพร-ปากน้ำชุมพร ห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 3 กิโลเมตร โดยมีคนที่อ้างเป็นตำรวจและนักข่าวขับรถยนต์ติดตามไปรับเงินที่ภายในปั้มน้ำมันดังกล่าว และยังมีตำรวจอีกชุดหนึ่งนั่งคุมเชิงพูดคุยอยู่ที่ร้านของตน
นายสุรินทร์กล่าวว่าหลังจากเพื่อนตนได้จ่ายเงินจำนวน 8 หมื่นที่ปั้มน้ำมันดังกล่าวแล้ว คนร้ายที่ไปรับเงินสดที่ปั้มน้ำมันก็กลับมารวมตัวกันที่บ้านตนอีกครั้ง แล้วถอดเอาเมมโมรี่การ์ดจากล้องวงจรปิดตัวที่อยู่หน้าร้านตนออกไปด้วย พร้อมกับเอาโทรศัพท์มือถือของภรรยาตนที่ได้ถ่ายคลิปไว้ตอนเข้ามาขอตรวจค้นโดยให้ให้นักข่าวอีกคนเป็นคนลบคลิปวิดีโอทั้งหมดในมือถือของภรรยาตน ก่อนทั้งหมดจะเดินทางกลับออกไป
นายสุรินทร์กล่าวว่ากลุ่มบุคคลที่อ้างเป็นตำรวจและนักข่าว คิดว่ากล้องวงจรปิดมีอยู่ที่เฉพาะหน้าบ้านเพียงตัวเดียว แต่ความจริงแล้วตนติดตั้งแอบซ่อนไว้หลายตัวทั่วทั้งบ้านและภายใน จุดรับซื้อเก็บของเก่าหลังบ้านด้วยสามารถบันทึกภาพและเสียงกลุ่มบุคคลทั้งหมดไว้ได้อย่างชัดเจน หลังจากนั้นตนได้ปรึกษากันคนในครอบครัวและคนใกล้ชิดหลายคนให้ตนนำหลักฐานทั้งหมดเข้าแจ้งความดำเนินคดีดังกล่าว
โดยนายสุรินทร์ได้มอบหลักฐานเป็นภาพจากกล้องวงจรปิดในมุมต่างๆที่เห็นภาพและเสียงบุคคลทั้ง 9 คนไว้ให้แก่พนักงานสอบสวน พร้อมกับระบุชื่อเล่นของกลุ่มบุคลดังกล่าวที่ได้ยินช่วงระหว่างพูดคุยกันและยังมีเพื่อนบ้านบางคนเป็นพยานว่าเคยเห็นและรู้จักกับกลุ่มบุคคลดังกล่าวว่าเป็นตำรวจจริงและเป็นนักข่าวในพื้นที่ จ.ชุมพร ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ลงบันทึกรับเป็นคดีอาญาไว้เพื่อสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อออกหมายเรียกกลุ่มบุคคลตามภาพคลิปวิดีโอดังกล่าวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไปแล้ว
ด้านนายเขียว นามสมมุติ อายุ 50 ปี ขอให้ตนไปกดที่ตู้เอที่เอ็มในปั้มน้ำมันจนครบ 8 หมื่นบาท ซึ่งมีตำรวจและนักข่าวขับรถยนต์ติดตามไป 2 คัน ส่วนคนที่ลงจากรถเดินมารับเงิน 8 หมื่นบาทจากตนทราบว่าเป็นนักข่าว หลังรับเงินแล้วยังยืนนับที่ใกล้ๆกับตู้เอทีเอ็มในปั้มน้ำมันด้วย จากนั้นได้เดินไปขึ้นรถยนต์ที่มีคนขับนั่งรออยู่ขับออกไป
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: