ฉะเชิงเทรา – ชาวนาเข่าทรุด หลังถูกนายทุนใหญ่ฟ้องร้องขับไล่ พร้อมเรียกค่าเสียหายมากถึง 11 ล้านบาท เผยเคยเช่าพื้นที่ทำนาอยู่กับเจ้าของเก่าดั้งเดิมมานานถึงกว่า 30 ปี ก่อนที่ดินจะถูกเปลี่ยนถ่ายมือเจ้าของต่อเนื่องมาหลายทอดโดยที่ไม่ได้มีการแจ้งให้คนทำนาทราบ จนสุดท้ายถูกฟ้องขับไล่พ้นพื้นที่
วันที่ 26 ส.ค.61 เวลา 09.00 น. นายพงศ์ธร พิมพ์ชื่น อายุ 54 ปี อยู่บ้านเลขที่ 39 ม.9 ต.คลองหลวงแพ่ง อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา ชาวนาผู้ที่เคยเช่าพื้นที่ทำนาอยู่ในพื้นที่ ม.13 ต.คลองหลวงแพ่ง ได้เดินทางเข้าร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือให้ทางผู้มีอำนาจในบ้านเมืองเข้ามาให้การช่วยเหลือผ่านทางผู้สื่อข่าว หลังจากจากตนเองถูกบริษัทนายทุนต่างชาติแห่งหนึ่งฟ้องร้องขับไล่ให้ออกไปพ้นพื้นที่ทำกินที่เคยเช่าประกอบอาชีพทำนามานานถึงกว่า 30 ปี พร้อมกับยังถูกเรียกค่าเสียหายเป็นเงินจำนวนมากถึง 11 ล้านบาท
โดยเหตุการณ์ดังกล่าวได้เกิดขึ้นเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา พ.ค.2560 หลังจากได้มีบริษัทนายทุน เครือข่ายต่างชาติรายหนึ่ง ได้ฟ้องศาลแพ่งขับไล่ตนให้ออกไปให้พ้นพื้นที่การทำนาในแปลงดังกล่าวจำนวน 52 ไร่ โดยที่การพิจารณาไม่ได้ให้ความสำคัญต่อกฎหมายการเช่าที่นา ซึ่งมีคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลโดยมีกำนันประจำตำบลและนายอำเภอเป็นประธาน (คชก.) ตาม พ.ร.บ.การเช่า ที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 ที่ตนนำไปโต้แย้ง จึงถูกศาลแพ่งตัดสินให้ฝ่ายตนแพ้คดีทั้งศาลชั้นต้น และอุทธรณ์ จนถูกเรียกร้องให้ชำระเงินค่าเสียหายเป็นเงินจำนวนมากถึง 11 ล้านบาท
ข่าวน่าสนใจ:
- หมดวาระอบจ.ตรัง รุ่งขึ้น “บุ่นเล้ง” เปิดตัวทันควัน ใช้ชื่อ “ทีมนายกบุ่นเล้ง” แทน “ทีมกิจปวงชน” ชูนโยบาย “รวมพลังที่ยิ่งใหญ่ ขับเคลื่อนตรังให้เป็น 1”
- “ปลายฝน ต้นหนาว เคาท์ดาวน์ มิวสิคเฟส สุราษฎร์ธานี” ไฮไลท์ประกวดควายไทยมูลค่ากว่า 10 ล้าน
- คู่แข่งนอกสายตานายก ก้อย “พนธ์ มรุชพงษ์สาธร” ขอวัดดีกรีว่าที่นายก อบจ.แปดริ้ว
- เปิดบริการแล้ว MFU Wellness Center มฟล. ศูนย์บริการสุขภาพแบบครบวงจรแห่งภาคเหนือและอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
และหากจะฎีกาคดี จะต้องใช้เงินวางศาลมากถึง 3 ล้านบาท โดยเขาคิดตามเนื้อที่ดินทั้งแปลงจำนวนกว่า 1 พันไร่ ทั้งที่ตนทำกินอยู่จริงบนที่ดินแปลงดังกล่าวเพียงกว่า 50 ไร่ ตนจึงไม่มีเงินไปวางศาล จึงถูกนายทุนเร่งรัดให้ทางสำนักงานบังคับคดีเข้ามาไล่รื้อถอนที่อยู่อาศัย
จากนั้นยังจะเข้าไปยึดที่ดินทำกินอีกแปลงหนึ่งของตนจำนวน 34 ไร่ ในเขตพื้นที่ ต.หัวไทร อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นหลักทรัพย์ผืนสุดท้ายที่ใช้ทำกิน เพื่อนำมาชดใช้แทนค่าเสียหายที่กำลังถูกทำการเรียกเก็บให้ได้จำนวน 11 ล้านบาท ตามที่ศาลแพ่งตัดสิน จึงทำให้ตนได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก ไม่มีที่ดินทำกิน และจะต้องสูญเสียที่ดินของตนเองไปจากการถูกฟ้องร้องดำเนินคดีดังกล่าวนี้ด้วย
สำหรับการเช่าที่ดินทำนานั้นเดิมได้เช่าพื้นที่ทำกินอยู่กับเจ้าของที่ดินเดิมรายหนึ่ง ต่อมาที่ดินได้ถูกขายเปลี่ยนมือไปให้แก่บริษัทแห่งหนึ่ง ที่เข้ามากว้านซื้อรวบรวมที่ดินในบริเวณดังกล่าวให้เป็นที่ดินแปลงใหญ่ ซึ่งตนก็ได้มีการทำสัญญาการเช่าที่ทำกินกับทางทนายของบริษัทแห่งที่สองไว้ จนกระทั่งมีบริษัทนายทุนต่างชาติรายดังกล่าวนี้ ได้เข้ามาทำการซื้อที่ดินที่ถูกรวบรวมเป็นแปลงใหญ่จำนวนกว่า 1,400 ไร่ต่อจากบริษัทที่สองไป จนมีการฟ้องร้องขับไล่ผู้ที่กำลังทำกินอยู่บนที่ดินให้ออกไปให้พ้นพื้นที่ดังกล่าว
ซึ่งการฟ้องร้องนั้นทางฝ่ายของบริษัทนายทุนไม่ได้ให้ความสำคัญกับกฎหมายการเช่าพื้นที่ทำนา และอ้างว่าสัญญาเช่าที่ตนทำไว้กับทางบริษัทที่สองเป็นโมฆะ เนื่องจากไม่มีใบมอบอำนาจจากทางบริษัทเดิมให้ทนายเป็นผู้ลงนามทำสัญญาเช่าแก่ตนเอง ทั้งที่ตนนั้นได้ทำการจ่ายค่าเช่าในทุกๆ ปีอย่างต่อเนื่องแม้จะมีการเปลี่ยนมือแล้วตนก็ยังได้นำค่าเช่าไปวางไว้ยังที่สำนักงานบังคับคดี
จึงอยากร้องขอความยุติธรรมและการช่วยเหลือไปยังรัฐบาล หรือผู้มีอำนาจและผู้มีความรู้ทางด้านกฎหมายในการที่จะต่อสู้ทางคดีให้เข้ามาช่วยเหลือตนบ้าง นายพงศ์ธร กล่าว
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: