ฉะเชิงเทรา – ชาวบ้าน ปากน้ำบางคล้าข้องใจหลังสำนักพุทธฯ พร้อมวัฒนธรรมอำเภอย่องเงียบลงพื้นที่สอบลับพระปลัดวัดปากน้ำ แหล่งท่องเที่ยวแสวงบุญขึ้นชื่อลำดับต้นของหวัดฉะเชิงเทราอีกแห่ง หลังถูกพัฒนาให้เป็นอารามสีทองหมดทั้งวัด จนถูกบุคคลผู้ไม่สำแดงตัวตนบุกยื่นหนังสื่อร้องเรียนไปยังศูนย์ดำรงธรรม
วันที่ 8 ส.ค.61 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่วัดปากน้ำ (โจ้โล้) ตั้งอยู่เลขที่ 51 ม.7 ต.ปากน้ำ อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา ได้มีชาวบ้านจำนวนกว่า 30 คน ได้แสดงความไม่พอใจหลังจากทางสำนักงานพระพุทธศาสนา จ.ฉะเชิงเทรา พร้อมด้วยวัฒนธรรมอำเภอบางคล้า ได้ลงพื้นเข้ามาทำการสอบลับ พระปลัดเอกลักษณ์ ปัญญาคโม พรรษา 16 อายุ 36 ปี เจ้าอาวาสวัดพุทธพรหมญาณ ตั้งอยู่บนเกาะลัดกลางแม่น้ำบางปะกง เลขที่ 99 ม.2 ต.บางตลาด อ.คลองเขื่อน จ.ฉะเชิงเทรา ที่ปรึกษาเจ้าอาวาสวัดปากน้ำหลังจากที่มีบุคคลกลุ่มหนึ่งได้เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อทางศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดฉะเชิงเทรา โดยที่ไม่ได้มีการลงนามระบุตัวตนในหนังสือร้องเรียน ให้ทำการตรวจสอบพระปลัดเอกลักษณ์ ซึ่งเดิมนั้นมีหน้าที่บริหารจัดการกำกับดูแลการก่อสร้างซ่อมแซมพุทธสถานภายในวัด ตลอดจนดูแลเงินบริจาคซึ่งเป็นรายได้ของทางวัด โดยชาวบ้านต้องการให้เจ้าหน้าที่ทำการสอบสวนอย่างเปิดเผยต่อหน้าชาวบ้านและคณะสงฆ์ทุกรูปเพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมในการรับฟังและแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้น และเป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงความบริสุทธิ์ของพระปลัดเอกลักษณ์ ไขข้อข้องใจต่อข้อร้องเรียนอย่างเปิดเผยต่อหน้าสาธารณะชน หลังจากที่มีกลุ่มบุคคลผู้ไม่ประสงค์ออกนาม ได้เข้าไปยื่นหนังสือร้องเรียนให้ตรวจสอบเรื่องการใช้จ่ายเงินในการก่อสร้างซ่อมแซมสิ่งต่างๆ ของทางวัดและยังร้องว่ามีการนำเงินของทางวัดไปใช้จ่ายซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้างวัดอีกแห่งบนเกาะลัดกลางแม่น้ำบางปะกง ตลอดจนการนำตู้รับบริจาคเงินของวัดแห่งใหม่กลับมาวางรับบริจาคไว้ภายในบริเวณวัดปากน้ำแห่งเดิมอีก ให้ประชาชนทั่วไปได้ทราบโดยทั่วกันขณะที่ทางเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาได้จี้แจงต่อชาวบ้านว่า ได้รับคำสั่งให้ลงพื้นที่เข้ามาตรวจสอบให้เป็นเรื่องลับ จึงต้องปฏิบัติตามคำสั่ง และไม่สามารถที่จะทำการสอบสวนข้อเท็จจริงต่อหน้าสาธารณชนตามที่ชาวบ้านต้องการได้ ซึ่งจากสอบสวนนั้นก็ได้รับทราบข้อเท็จจริงทั้งหมดแล้ว แต่ไม่สามารถเปิดเผยในรายละเอียดได้ขณะเดียวกัน พระครูเกษม ชลเขต (เขมจิตโต) พรรษา 52 วัย 72 ปี เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ได้กล่าวเปิดเผยต่อผู้สื่อข่าวหลังจากกระบวนการตรวจสอบของทางเจ้าหน้าที่เสร็จสิ้นลงว่า วัดปากน้ำบางคล้าแห่งนี้ เป็นวัดเก่าแก่ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ครั้งยังเป็นสำนักสงฆ์ เมื่อประมาณปี พ.ศ.2338 ด้วยความเก่าแก่จึงมีสภาพชำรุดทรุดโทรมขาดการบูรณะ เพราะทางวัดไม่มีเงินที่จะนำมาทำนุบำรุงรักษาให้อยู่ในสภาพดีได้เนื่องจากอาตมานั้นบวชเป็นพระสงฆ์มาตั้งแต่อายุครบบวชในวัยหนุ่มเมื่อประมาณปี พ.ศ.2510 จึงไม่มีรายได้อะไรที่จะนำมาใช้จ่ายในการทำนุบำรุงซ่อมแซมวัด หรือหาเงินเข้ามาบูรณะวัดให้ดีได้ เพราะอาตมาหาเงินไม่เป็น จึงมีเพียงแรงกายเท่านั้นที่นำพระสงฆ์ภายในวัดออกแรงซ่อมแซมก่อสร้างกันเอง ซึ่งไม่สามารถที่จะทำให้ดีอย่างสมบูรณ์แบบได้ ทั้งกุฏิที่อยู่ในสภาพล้มเอียง หลังคาโบสถ์น้ำฝนรั่วไหลนองต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2549 พระปลัดเอกลักษณ์ ซึ่งเดิมเข้ามาบวชเป็นพระลูกวัดและเป็นพระหนุ่มนักพัฒนาที่มีความคิดสร้างสรรค์ ทำโน่นทำนี่ สร้างโน่นสร้างนี่ โดยที่อาตมาก็ไม่ได้ขัดข้องอะไรเพราะอาตมานั้นหาเงินไม่เป็น อีกทั้งท่านยังมีความสามารถเฉพาะตัวและหาเงินเก่ง จนทำให้วัดปากน้ำแห่งนี้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่ออีกแห่งของ อ.บางคล้า และมีประชาชนเข้ามาท่องเที่ยวกันเป็นจำนวนมากเพราะท่านมีความสามารถมีความคิดสร้างสรรค์ จึงหาเงินเข้าวัดได้อย่างมากมาย นำมาพัฒนาให้วัดกลับมาเจริญรุ่งเรื่องได้อีกครั้ง และทำให้มีบุคคลบางกลุ่มต้องการที่จะเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์หรืออยากมามีส่วนร่วมกับทางวัด หลังจากที่วัดเริ่มกลับมาเจริญรุ่งเรื่องแล้ว เพราะนับวันญาติโยมพุทธศาสนิกชนนั้นต่างหลั่งไหลเข้ามาท่องเที่ยวยังที่วัดปากน้ำแห่งนี้มากขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นทวีคูณและการที่ท่านไปซื้อที่ดินบนเกาะสร้างวัดแห่งใหม่ขึ้นมาอีกแห่ง ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันมากนัก เพราะท่านต้องการสร้างสถานที่ปฏิบัติธรรมที่มีความเงียบสงบ ส่วนเรื่องตู้รับบริจาคนั้นก็ได้มีการแบ่งแยกว่าใบไหนเป็นของทางวัดพุทธพรหมญาณ (วัดแห่งใหม่) ใบไหนเป็นของทางวัดปากน้ำเพราะมีการติดป้ายไว้ให้แก่ประชาชนผู้มีจิตศรัทธาได้ทราบ และอาตมาเองก็ยังได้ให้ท่านเข้ามาช่วยเป็นที่ปรึกษา เพื่อคอยช่วยดูแลจัดการภายในวัดอยู่ที่เดิมเนื่องจากอาตมาไม่ถนัดในเรื่องนี้ และท่านยังเป็นพระที่สร้างสรรค์ทำให้วัดแห่งนี้กลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้งได้ด้วยมือของท่านเอง “เมื่อก่อนตอนวัดทรุดโทรม ทำไมคนเหล่านี้จึงไม่เข้ามาช่วยกันทำนุบำรุง ซ่อมแซมพัฒนาวัดให้เจริญรุ่งเรือง แต่พอมีคนทำให้วัดเจริญรุ่งเรื่องกลับไปยื่นหนังสือร้องเรียน ให้ร้ายแก่ท่าน” พระครูเกษม กล่าวขณะเดียวกันผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับวัดปากน้ำแห่งนี้ เดิมเป็นวัดเก่าแก่ที่ทรุดโทรมขาดการบูรณปฏิสังขรณ์มาอย่างยาวนานหลายสิบปี และมักถูกน้ำท่วมเป็นประจำ ต่อมาพระปลัดเอกลักษณ์ ได้เริ่มปรับปรุงพื้นเทคอนกรีตภายในบริเวณวัด บูรณะโบสถ์ใหม่เกือบทั้งหลังให้เป็นสีทองก่อนที่จะพัฒนาวัดด้วยการทาสีเหลืองทองไปทั่วทั้งวัด จนดูโดดเด่นสะดุดตาและได้รับความสนใจจากประชาชนนักท่องเที่ยวที่ต่างพากันหลั่งไหลเข้ามาท่องเที่ยวกันเป็นจำนวนมากจึงทำให้วัดแห่งนี้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวแสวงบุญในลำดับต้นๆ ของจังหวัดฉะเชิงเทราอีกแห่งหนึ่ง รองลงมาจากวัดโสธรวรารามวรวิหาร วัดสมานรัตนาราม วัดโพรงอากาศ และวัดปากน้ำ แห่งนี้ ที่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมชมชอบขึ้นมาเป็นวัดสำดับที่ 4 ของจังหวัด
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: