ฉะเชิงเทรา – ไร้อำนาจ เข้าจัดการปัญหาผักตบชวาลอยล้นขวางลำน้ำ คำตอบจากหน่วยงานรัฐ ทำวิถีชีวิตชาวบ้านเปลี่ยน อาชีพทำกินพัง การสัญจรของชาวเกาะลัดถูกตัดขาด หลังหน่วยงานผู้รับผิดชอบในพื้นที่ เลื่อนปิดบานประตูกั้นเขื่อนทดน้ำบางปะกงขวางผักตบชวาไม่ให้ไหลผ่าน ปัญหาระดับชาติที่ชาวบ้านรอคอยการตักเก็บไม่ไหว ฮือรวมตัวชุมนุมกดดันวันนี้
วันที่ 31 ส.ค.63 เวลา 10.30 น. ที่บริเวณโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาเขื่อนบางปะกง บ้านไผ่เสวก ม.11 ต.บางแก้ว อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา ได้มีชาวบ้านจากพื้นที่ อ.คลองเขื่อน และ อ.บางคล้า จำนวนกว่า 200 คน ได้เดินทางมารวมตัวชุมนุมเรียกร้องให้ทางโครงการเขื่อนทดน้ำบางปะกง เปิดบานประตูระบายน้ำของตัวเขื่อน ที่มีการเลื่อนลงมาปิดขวางลำน้ำไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ผักตบชวาไหลลอยผ่านบานประตูของเขื่อนไปยังแม่น้ำบางปะกงตอนล่างได้ ในระหว่างรอคอยการจัดเก็บไปกำจัด
ข่าวน่าสนใจ:
แต่การดำเนินการจัดเก็บของทางกรมชลประทานสามารถดำเนินการตักนำไปกำจัดได้อย่างล่าช้า จึงทำให้มีผักตบชวาจำนวนมากลอยมาติดอยู่ที่หลังแนวเขื่อนเป็นจำนวนมาก จนเกิดการสะสมตัวอย่างหนาแน่นปิดขวางลำน้ำจนทำให้ชาวบ้านไม่สามารถใช้ชีวิต ประกอบอาชีพประมงตามวิถีทำกินของชาวบ้านได้ ตลอดจนยังปิดขวางเส้นทางการสัญจรทางน้ำของชาวบ้านเกาะลัด
ซึ่งเป็นเกาะน้ำจืดที่อยู่กลางลำน้ำบางปะกงและไม่มีเส้นทางการสัญจรทางรถยนต์ โดยต้องใช้การสัญจรทางเรือในการเดินทางเข้าออกจากเกาะได้เพียงทางเดียวเท่านั้น จึงทำให้ชาวบ้านกว่า 300-400 ชีวิต จาก 100 ครัวเรือนเดือดร้อน เกิดความไม่พอใจ เดินทางมารวมตัวชุมนุมเรียกร้องให้ทางโครงการเขื่อนทดน้ำบางปะกง ทำการเปิดยกบานประดูระบายน้ำขึ้น เพื่อให้ผักตบชวาไหลลงไปตามลำน้ำสู่ปากอ่าวลงทะเลและเน่าตายไปตามธรรมชาติเมื่อลอยอยู่ในน้ำเค็ม
โดยนายทวีเดช จงดา อายุ 56 ปี อยู่บ้านเลขที่ 12/1 ม.1 ต.คลองเขื่อน อ.คลองเขื่อน จ.ฉะเชิงเทรา กำนันตำบลคลองเขื่อน กล่าวว่า ปัญหาผักตบชวาล้นลำน้ำมีเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในทุกๆ ปี แต่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาทางลุ่มน้ำตอนบนในพื้นที่ จ.ปราจีนบุรี และนครนายก ได้มีการปล่อยให้ผักตบชวาไหลลงมาตามลำน้ำโดยไม่ได้เร่งกำจัดตั้งแต่ต้นทางในช่วงตอนบนของลำน้ำ ซึ่งน่าจะทำได้ง่ายกว่า เพราะลำน้ำแคบ และบางแห่งเป็นเพียงคลองสาขา
และเมื่อลอยลงมาจนถึงลำน้ำบางปะกงตอนกลาง ผ่านเข้ามาในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา ทางกรมชลประทานได้มีการปิดบานประตูเขื่อนทดน้ำบางปะกง ดักผักตบชวาไว้เพื่อรอที่จะตักขึ้นไปกำจัด จนทำให้เกิดการสะสมตัวกันอย่างหนาแน่น ปิดขวางไปทั่วทั้งลำน้ำจนชาวบ้านไม่สามารถที่จะประกอบอาชีพทำกินตามวิถีของชาวบ้านได้ ทั้งการหากุ้งหาปลาในลำน้ำ รวมทั้งการนำเที่ยวทางเรือจากตลาดน้ำบางคล้า
ที่ชาวบ้านจะนำพานักท่องเที่ยวลงเรือวนรอบเกาะกลางน้ำ ตลอดจนการสัญจรของชาวบ้านเองที่จะเดินทางเข้าออกสู่เกาะลัดนั้น ไม่สามารถเดินทางเข้าออกได้ เนื่องจากต้องใช้เรือสัญจรเข้าออกทางน้ำได้เพียงช่องทางเดียวเท่านั้น จึงทำให้ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนกลับเข้าบ้านพักไม่ได้ ขณะที่ทางกรมชลประทานเองนั้น นอกจากจะกำจัดผักตบชวาเหล่านี้ได้อย่างล่าช้าแล้ว
ยังใช้วิธีเลื่อนบานปะตูของเขื่อนทดน้ำบางปะกงลง เพื่อกั้นลำน้ำขวางผักตบชวาไว้ในช่วงเวลาน้ำลง และในช่วงเวลาน้ำขึ้น ได้เปิดบานปะตูปล่อยให้ผักตบชวาไหลขึ้นไปอัดแน่นตามลำน้ำรวมกับผักตบชวาที่เพิ่งไหลลงมาจากทางตอนบนของลำน้ำใหม่อีก จึงเกิดการสะสมรวมกันอย่างหนาแน่น อีกทั้งการกำจัดยังไม่มีกำหนดเวลาที่จะแล้วเสร็จ ว่าจะสิ้นสุดลงได้เมื่อใด จึงทำให้ชาวบ้านต่างเดือดร้อน และพากันมารวมตัวชุมนุมกดดันในวันนี้ นายทวีเดช กล่าว
ขณะเดียวกัน หลังชาวบ้านเดินทางมารวมตัวกันเป็นจำนวนมากได้มี นายธำรงศักดิ์ นคราวงศ์ ผอ.โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาบางปะกง นายปรัตรวีร์ วิจบ นายอำเภอคลองเขื่อน นายกิตติ เป้าเปี่ยมทรัพย์ นายก อบจ.ฉะเชิงเทรา ลงมาพูดคุยกับชาวบ้าน เพื่อที่จะหาทางออกในการแก้ไขปัญหาให้แก่ชาวบ้าน
โดยที่ นายธำรงศักดิ์ ได้ตอบข้อซักถามต่อชาวบ้านว่า ตนเองทำได้เพียงรับเรื่องไว้เพื่อนำไปเสนอต่อคณะกรรมการบูรณาการกำจัดผักตบชวา ซึ่งแต่งตั้งโดยรัฐบาลเท่านั้น เนื่องจากตนเองไม่มีอำนาจที่จะทำการเปิดบานประตูเขื่อนทดน้ำบางปะกงตามความต้องการของชาวบ้านได้ เนื่องจากการเลื่อนปิดบานประตูเขื่อนนั้นเป็นมติคำสั่งของคณะกรรมการที่ประกอบร่วมกันหลายหน่วยงานและต้องรายงานไปตามลำดับชั้น
จนถูกชาวบ้านกดดันอย่างหนักและจะขอปักหลักชุมนุมกันยังที่เขื่อนทดน้ำแห่งนี้ รวมทั้งยังมีการล่ารายชื่อเพื่อยื่นข้อเรียกร้องไปถึงยังผู้มีอำนาจหน้าที่ตัดสินใจ หลังถูกกดดันอย่างหนัก นายธำรงศักดิ์ จึงได้รับปากว่าจะขอรับเรื่อง เพื่อนำไปเสนอรายงานต่อคณะกรรมการอย่างเร่งด่วนภายในวันนี้ และจะเร่งทำการกำจัดผักตบชวาด้วยเครื่องจักรกลงานหนัก แบ็คโฮอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา
เพื่อให้ปริมาณผักตบชวามีปริมาณลดลง หรือเบาบางไปจากลำน้ำให้ได้ภายใน 7 วัน จึงทำให้ชาวบ้านยินยอมที่จะสลายการชุมนุมกลับไป และจะเดินทางกลับมาทวงถามอีกครั้งหากพ้น 7 วันแล้วปัญหายังไม่คลี่คลายลง
ด้านนายโสภณ สกุลเจริญดี อายุ 48 ปี อยู่บ้านเลขที่ 29/1 ม.2 ต.บางตลาด อ.คลองเขื่อน กล่าวว่า จากปัญหาผักตบชวาล้นลำน้ำ ได้ทำให้ชาวบ้านไม่สามารถที่จะประกอบอาชีพทำกินตามวิถีของชาวบ้านได้ ทำให้ไม่มีรายได้อะไร ขาดรายได้เลี้ยงครอบครัว ได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก และยังไมรู้ว่าปัญหาจะจบลงได้เมื่อใด จึงต้องการให้ทางชลประทานเปิดบานประตูระบายน้ำ
เพื่อปล่อยให้ผักตบชวาไหลลงไปสู่ทะเลตามธรรมชาติที่เคยเป็นมานานนับร้อยปี และเน่าตายไปเองเมื่ออยู่ในน้ำเค็มเป็นอาหารปลาไปในที่สุด ตลอดจนสัตว์น้ำจากทางตอนบนจะได้ลงไปหาอาหารและเจริญเติบโต ยังที่บริเวณปากอ่าวได้ตามธรรมชาติหลังจากขึ้นมาวางไข่ทางตอนบน นายโสภณ กล่าว
ขณะที่ นายชาญชัย จ้อยเจริญ อายุ 47 ปี อยู่บ้านเลขที่ 302/1 ถ.ประชาเนรมิต ต.บางคล้า อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา กล่าวว่า นอกจากชาวบ้านที่ประกอบอาชีพทำกินตามวิธีชีวิตด้วยการหากุ้งแม่น้ำ หาปลาเลี้ยงครอบครัวแล้ว ปัญหาผักตบชวาเต็มแน่นลำน้ำยังส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวด้วย เนื่องจากตนนั้นประกอบอาชีพขับเรือรับจ้างนำพานักท่องเที่ยวจากตลาดน้ำบางคล้า ท่องเที่ยววนไปรอบเกาะลัด ก็ยังได้รับผลกระทบด้วย นายชาญชัย กล่าว
ด้านนายกิตติ กล่าวว่า สำหรับพื้นที่ในลำน้ำบางปะกงนั้น อยู่ในความดูแลรับผิดชอบของทางกรมชลประทาน ทาง อบจ.ฉะเชิงเทรา ไม่มีอำนาจที่จะเข้าไปดำเนินการกำจัดผักตบชวาให้ได้ แต่ยินดีที่จะให้การสนับสนุนเครื่องจักรกลงานหนัก และทุ่นลอยไปล็อกกักผักตบชวาไว้และใช้เครื่องจักรกลรถแบ็คโฮอีกจำนวน 9 คัน ไปตักขึ้นให้ได้ยังที่บริเวณพื้นที่ ต.บางโรง อ.คลองเขื่อน ซึ่งจะสามารถช่วยกำจัดผักตบชวาได้อย่างรวดเร็วขึ้น นายกิตติ กล่าว
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: