ฉะเชิงเทรา – โซเชียลทำร้ายคน สาวถูกเพื่อนร่วมงานโพสต์ประจานตำหนิกลิ่นตัวแรงขณะทำงานร่วมกันไม่อยากเข้าใกล้ ทั้งยังถูกหัวหน้างานจ่อหาทางบีบออกไปให้พ้น จนเกือบบานปลายจนถึงขั้นทำลายชีวิตตนเอง เป็นเรื่องราวสะท้อนถึงสังคมในยุคปัจจุบัน ที่ไวต่อสื่อชุมชนที่ทุกคนเข้าถึงได้ง่าย ทำขาดสติสำนึกในความเป็นเพื่อนมนุษย์ ห่างศีลธรรมที่ควรปล่อยวางและอดทนอดกลั้นในสิ่งด้อยที่คนอื่นเป็น ทั้งยังแห้งแล้งน้ำใจความเมตราที่ควรมีต่อกัน ในการนำไปสู่การอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสุข
วันที่ 15 พ.ย.64 เวลา 14.30 น. ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก น.ส.ภัทร วัย 29 ปี ชาว จ.พิษณุโลก ที่ถูกเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่วัย 40 ปี ชาว จ.ร้อยเอ็ด นำเรื่องสวนตัวของตนเองที่เป็นคนมีกลิ่นตัวแรง ออกมาโพสต์ประจาน จนกลายเป็นเรื่องพูดคุยกันอย่างสนุกสนานในสื่อสังคมโซเชียล จนทำให้เธอถึงขั้นคิดสั้นด้วยการพยายามทำร้ายตนเองเพื่อฆ่าตัวตายมาแล้ว แต่ยังโชคดีที่มีเพื่อนมาช่วยเตือนสติได้ทันว่า
ข่าวน่าสนใจ:
ตนเองเป็นคนที่มีเหงื่อมาก หรือเหงื่อออกง่ายจากสภาวะฮอร์โมนแปรปวน สาเหตุจากการที่มดลูกทำงานผิดปกติจนทำให้ปวดท้องอย่างรุนแรง ในขณะที่มีรอบเดือนจนไม่สามารถไปทำงานได้ จึงได้ให้แพทย์ทำการฉีดฮอร์โมนเพื่อหยุดอาการเจ็บปวดในทุกๆ 3 เดือน และควบคุมเพื่อไม่ให้มีรอบเดือน มานานเป็นเวลา 4 ปีแล้ว แต่การฉีดฮอร์โมนเพื่อควบคุมอาการดังกล่าว ได้ทำให้ตนเองมีเหงื่อออกมาในปริมาณมากขึ้นไปกว่าปกติ ทั้งที่ตนเองเป็นคนที่มีเหงื่อมากอยู่แล้ว
ที่ผ่านมาจึงได้พยายามที่จะหาวิธีในการแก้ไขมาอย่างหลากหลายด้าน ในทุกวิธีแล้ว ทั้งการตัดผมให้สั้นลงเพื่อให้ร่างกายถ่ายเทความร้อนได้สะดวก การต้มเสื้อผ้าที่สวมใส่โดยใช้สารส้มในการซักล้าง ทั้งยังได้พยายามที่จะไม่ให้ตนเองอยู่ในที่ร้อนเพื่อไม่ให้เหงื่อไหลออก แต่ก็ยังมีเหงื่อซึมอยู่ตลอดตามร่างกายแม้ว่าจะทำงานอยู่ภายในห้องปรับอากาศแล้วก็ตาม แต่ยังต้องใช้พัดลมเปิดช่วยให้ร่างกายเย็นมากขึ้น เพื่อลดเหงื่อไม่ให้ออกมามาก
รวมถึงการใช้ทั้งมะนาวและยาสีฟัน มาทำการขัดที่ผิวหนังตามคำแนะนำของคนที่รู้จัก เพื่อลดกลิ่นตัวโดยหวังว่าจะดีขึ้นแต่ก็ยังไม่ได้ผล จึงได้เลือกใช้วิธีในการเลี่ยงให้อยู่ห่างจากผู้คน โดยเฉพาะคนที่เขารังเกียจเราเพื่อลดปัญหา แต่พอเวลาตนเองหลีกเลี่ยงที่จะไม่เข้าไปใกล้ใคร กลับถูกกล่าวหาและนำไปพูดบอกต่อให้คนอื่นฟังรวมถึงหัวหน้างาน เนื่องจากตนทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมแห่งหนึ่ง ย่าน อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา
ว่าตนเองไม่ยอมเข้าไปช่วยเขาทำงาน แต่พอเราเข้าไปช่วยหรือเข้าไปใกล้เขา เขาก็จะแสดงอาการรังเกียจอีก ทั้งที่ในใจของเรานั้นอยากที่จะเข้าไปช่วยเขา เพราะเคยให้ความเคารพรักเขาเปรียบเสมือนพี่สาวคนนึง ทั้งยังเคยนับถือเขาไว้ใจเขา อีกทั้งในอดีตในช่วงก่อนหน้า เวลาไปไหนก็ยังมักจะไปด้วยกันและเป็นห่วงเป็นใยต่อกัน โดยตนทำงานที่บริษัทแห่งนี้มานานถึง 5 ปีแล้ว
ส่วนคนที่นำมาโพสต์ประจานนั้น เป็นรุ่นพี่ทำงานมาก่อนเป็นเวลา 5 ปี จากเหตุการณ์ที่ตนเองถูกบูลลี่ หรือถูกทำร้ายทางด้านสังคม และสภาพจิตใจผ่านทางสื่อโซเชียล (เฟซบุ๊ก) ได้ทำให้ตนเองคิดสั้นจนถึงขั้นคิดที่จะฆ่าตัวตาย ด้วยการใช้สายไฟสำหรับชาร์ทโทรศัพท์รัดที่ลำคอตนเองอยู่บนเตียงที่นอนภายในห้องพัก แต่โชคดีที่มีเพื่อนสนิทตั้งแต่เมื่อสมัยเรียนมัธยม และทำงานเป็นแพทย์แผนไทย อยู่ใน รพ.แห่งหนึ่งย่านบางพลี จ.สมุทรปราการ ได้โทรศัพท์เข้ามาในช่วงวินาทีนั้น
ในขณะที่ตนเองกำลังใช้สายไฟรัดคออยู่บนเตียงพอดี ก่อนที่จะสอบถามถึงเรื่องราว และได้ให้แง่คิดเพื่อดึงสติของตนกลับมา ซึ่งยังถือว่าโชคดีมากที่ตนได้ตัดสินใจรับโทรศัพท์จากเพื่อน ที่โทรเข้ามาก่อน จึงผ่านพ้นนาทีแห่งความสูญเสีย ที่กำลังจะเกิดขึ้นจากการที่ตนคิดมากจนขาดสติมาได้ การที่ถูกบูลลี่หรือถูกทำร้ายทางสังคมและจิตใจนั้น ครั้งแรกไม่คิดว่าตนเองจะถูกกระทำ แต่มีเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องมาบอกว่ามีการโพสต์ข้อความเกี่ยวกับเรื่องปมด้อยทางด้านสุขภาพของตนลงบนสื่อสังคมออนไลน์
จึงได้พยายามที่จะไม่คิดอะไร แต่สุดท้ายก็ยังเกิดความรู้สึกโมโห ทั้งที่เพื่อนรุ่นน้องได้พยายามโพสต์บอกกับพวกเขาแล้วว่าไม่ควรนำเรื่องแบบนี้มาโพสต์ลงสื่อโซเชียล ทั้งยังได้บอกไปอีกว่า “ทำไมไม่เดินไปบอกกับตนเองโดยตรง” หรือไม่ก็ควรจะสะกิดเพื่อนร่วมงานคนอื่นให้มาบอกก็ได้ ซึ่งได้มีการโต้ตอบกันบนเฟซบุ๊ก แต่ตนนั้นได้พยายามที่จะไม่เข้าไปดูเนื่องจากไม่อยากคิดมาก แต่ก็ยังทำใจให้เป็นปกติไม่ได้ หลังจากนั้นในวันถัดมา จึงไม่ได้ไปทำงานและได้พยายามค้นหาและทักไปยังทนายความ นักกฎหมายที่มีอยู่บนสื่อโซเชียล
เพื่อที่จะขอคำปรึกษาว่าการที่เขาทำกับเราอย่างนี้สามารถทำได้หรือไม่ แต่ไม่มีใครตอบกลับมาเลยสักราย โดยระหว่างวันนั้นจึงได้คิดแต่ที่จะโทษตัวเอง และคิดว่าเป็นเพราะความผิดอยู่ที่ตัวเรา ทั้งที่ได้พยายามหาทางแก้ไขแล้ว และได้พยายามมองหาใครสักคนที่จะระบายและปรึกษา เพื่อช่วยบรรเทาทุกข์ ด้วยการส่งข้อความไปหาเพื่อนๆ หาคนรู้จัก แต่เพื่อนและคนรู้จักเขาก็ทำงานกันหมดในเวลานั้น ต่อมาในเวลาประมาณ 13.00 น. จึงได้ตัดสินใจที่จะใช้สายไฟชาร์ทโทรศัพท์รัดคอตนเองดังกล่าว
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า อยากบอกอะไรไปถึงยังคนที่นำข้อด้อยของคนอื่น หรือชอบใช้สื่อโซเชียลในการทำร้ายคนบ้างหรือไม่ เธอตอบว่า อยากจะบอกเตือนไปถึงยังคนที่ชอบโพสต์เรื่องด้อยของคนอื่นว่า “การที่คุณจะโพสต์อะไรบนโซเชียล ที่อาจจะคิดว่าเป็นเพียงคำพูดเล่นๆ หรือ คำพูดธรรมดา แต่คุณไม่สามารถรู้เลยว่าคนที่เขารับฟัง คนที่เข้ามาอ่าน เขาจะคิดและรู้สึกอย่างไร ก่อนพูดหรือพิมพ์อะไรลงไปพยายามคิดให้ดีว่าสิ่งที่ทำแล้วมันดีจริงๆ
หากวันนึงคุณมารู้ว่า คำพูดที่คุณคิดว่ามันเป็นแค่เพียงคำพูดตลกๆ ธรรมดา และจิกกัดแบบสนุกสนานไปตามประสาของคุณโดยไม่คิดอะไร มันอาจทำร้ายคนๆหนึ่งได้โดยที่คุณไม่รู้ตัว หรือหากในวันนั้นที่ตนคิดฆ่าตัวตายแล้ว ทำสำเร็จและตายไปจริงๆ คุณจะไม่ได้ทำร้ายแค่เพียงคนที่เอาเรื่องของเขามาโพสต์ แต่คุณยังทำร้ายไปถึงยัง พ่อ-แม่ และครอบครัวของตนด้วย และหากมารู้ภายหลังว่าผู้ถูกโพสต์ให้ร้ายต้องตายเพราะคำพูดของคุณไปแล้ว คุณจะรู้สึกอย่างไร”
จากเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ได้เห็นว่าคนที่ถูกบูลลี่แล้วบางคนจึงหาทางออกไม่ได้ จนถึงขั้นฆ่าตัวตายนั้น เป็นอย่างที่ตนถูกกระทำในวันนี้ นอกจากนี้คนที่เข้ามาคอมเมนต์จำนวนมากยังเป็นคนที่ตนเองรู้จัก ซึ่งต่อหน้านั้นยิ้มให้ คุยกันด้วยดี แต่กลับเข้ามาคอมเมนต์ในสิ่งที่ไม่ดี และกลายเป็นการเรื่องที่นำมาพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ในเวลานี้จึงทำให้ตนเข้าใจเลยว่า ทำไมคนจึงคิดฆ่าตัวตายได้เพราะคำพูดพวกนี้
ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครเข้ามาสอบถาม ว่าเรื่องมันเกิดจากอะไรปัญหามันอยู่ตรงไหน เคยแก้หรือยัง แก้ไปแบบไหนบ้างแล้ว โดยในวันที่เพื่อนโทรศัพท์มาให้สติ และพูดจนตนเองเลิกคิดฆ่าตัวตายได้แล้วนั้น เขายังช่วยหาทางเพื่อไม่ให้เราอยู่คนเดียวและคิดมาก จึงได้หากิจกรรมให้ทำ โดยการชวนไปเป็นจิตอาสา ช่วยเหลืองานด้านเอกสารที่ศูนย์ฉีดวัคซีนโควิด 19 จึงทำให้ไม่มีเวลามานั่งคิดในเรื่องนี้อีกจนผ่านมาได้กว่า 1 เดือนแล้ว น.ส.ภัทร กล่าว
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: