ฉะเชิงเทรา – เปิดเปลือกเรื่องเศร้าสะเทือนชาวพุทธ สังคมเสื่อมถอยฝีมือจากคนเทาในเงาโซเชียลจัดฉากพระสงฆ์เดินเท้าถูกไล่ออกจากวัดกลางพรรษา ที่แท้ชาวบ้านระบุจัดฉากสร้างสถานการณ์เรียกกระแสคนดู ชี้พากันเดินออกไปเองยามวิกาล แฉบางรูปบวชได้ไม่ถึงพรรษาจับกลุ่มรวมกันทำเสื่อมเสียผิดพุทธบัญญัติออกบิณฑบาตก่อนรุ่งอรุณกลางดึก แต่กลับเข้ามาในเวลาเพล ส่วนของทำบุญที่ได้นำออกไปขาย จนชาวบ้านรอบข้างเอือมไม่เข้ามาทำบุญ ด้านพระผู้รับมอบอำนาจปกครองแทนติเตียนกลับไม่รับฟัง
วันที่ 10 ส.ค.66 เวลา 14.30 น. ผู้สื่อข่าวได้เดินทางลงพื้นที่ไปยังสำนักวิปัสสนาแสงธรรมคีรี พื้นที่ ม.11 ต.เขาหินซ้อน อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีมีสื่อโซเชียลในท้องถิ่นได้มีการไลฟ์สดภาพพระสงฆ์จำนวน 3 รูปและสามเณรจำนวน 5 รูปที่ได้มีการกล่าวอ้างว่าถูกเจ้าอาวาสที่ได้หายจากวัดไปนานถึง 6-7 เดือนกลับมาไล่ออกจากวัด เมื่อช่วงค่ำวานนี้เวลา 21.00 น. และมีการส่งต่อภาพข่าวไปยังสำนักข่าวสื่อกระแสหลักหลายแขนง ที่ได้มีการตีแผ่ออกไปสู่สังคมจนทั่วทั้งประเทศแล้วนั้น
ข่าวน่าสนใจ:
ปรากฏว่าได้พบกับชาวบ้าน และพระสงฆ์ฝ่ายปกครองชั้นผู้ใหญ่ทั้งระดับจังหวัด ระดับอำเภอ และระดับตำบล รวมถึงสำนักงานพระพุทธศาสนา จ.ฉะเชิงเทรา ฝ่ายปกครอง และ จนท.ตำรวจ ได้เดินทางลงมาตรวจสอบข้อเท็จจริงในกรณีดังกล่าวที่เกิดขึ้น ตั้งแต่เมื่อเวลา 13.00 น. ซึ่งมีชาวบ้านบางรายระบุว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการจัดฉากสร้างสถานการณ์เพื่อให้เกิดกระแสผ่านทางสื่อสังคมโซเชียล
โดยหลวงตาค้อ หมื่นขัน อายุ 65 ปี พรรษา 6 พระลูกสำนักฯ ผู้ได้รับมอบอำนาจให้ดูแลสำนักปฏิบัติธรรมแห่งนี้แทนพระครูไพศาล เจ้าสำนักที่เจ็บป่วยอาพาธจนต้องออกไปรักษาอาการในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา กล่าวว่า พระสงฆ์ทั้ง 3 รูปและสามเณร 5 รูปที่ออกไปเดินบนถนน 304 เมื่อคืนที่ผ่านมานั้น เป็นพระที่บวชมาแล้ว 6 พรรษา 1 รูป และเป็นพระบวชใหม่เมื่อช่วงต้นปียังไม่ได้พรรษา 1 รูปและบวชมาแล้ว 1 พรรษา 1 รูป
หลังบวชมาได้เข้ามาจับกลุ่มออกบิณฑบาตร่วมกัน และมักจะกระทำผิดจารีตตามพุทธบัญญัติ ด้วยการออกไปบิณฑบาตในยามวิกาลช่วงเวลาประมาณ 03.00 น.ของทุกวัน และจะกลับเข้ามาในเวลาประมาณ 11.00 น. โดยทราบว่าได้พากับขับรถออกไปตระเวนบิณฑบาตไกลถึง 4 จังหวัด ทั้ง ปราจีนบุรี ชลบุรี นครนายก และสมุทรปราการ รวมถึงในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา ตามแหล่งชุมชนที่มีเศรษฐกิจดี หรือในตลาดนัดที่สำคัญของแต่ละจังหวัด ซึ่งเป็นข้อห้ามไม่ให้มีการบิณฑบาตข้ามเขตด้วยเช่นกัน
โดยสิ่งของที่รับบิณฑบาตมานั้น ได้นำกลับมาเก็บไว้บางส่วน อีกส่วนหนึ่งได้นำออกไปจำหน่าย โดยเฉพาะอาหารแห้งต่างๆ เช่น อาหารกระป๋อง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และข้าวสาร เมื่ออาตมาซึ่งได้รับมอบอำนาจอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรจากพระครูเจ้าสำนักฯ ให้รักษาการณ์แทน ในการดูแลจัดการภายในสำนักปฏิบัติธรรมแห่งนี้ได้ไปตักเตือน ว่าสิ่งที่พระสงฆ์กลุ่มนี้และสามเณรได้กระทำไปนั้นไม่ถูกต้องตามพุทธบัญญัติและระเบียบของสำนักสงฆ์ กลับถูกต่อว่า และไม่รับฟังโดยอ้างว่าจะต้องนำเงินมาใช้จ่ายส่งสามเณรไปเรียนหนังสือจนไม่สามารถปกครองกันได้
ส่วนพระครูไพศาลนั้น ได้เดินทางไปรักษาตัวด้วยอาการป่วยจากโรคเบาหวานและแขนขาอ่อนแรงเป็นเวลาหลายเดือนนั้น ไม่ได้นำเงินกฐินหนีหายไปไหน หลังจากทอดกฐินได้เงินมาจำนวน 3 แสนบาท เมื่อหักค่าใช้จ่ายในการจัดงานกฐินแล้ว มีเงินเหลืออยู่เพียง 2.5 แสนบาท และเมื่อจ่ายค่าใช้จ่ายให้แก่พระสงฆ์ที่มาช่วยงานและพระที่มาจำพรรษาทั้งหมดแล้ว เหลือเงินอยู่เพียงประมาณแสนกว่าบาท
ซึ่งได้มีการนำมาจ่ายเป็นค่าไฟฟ้าภายในสำนักฯ แห่งนี้เดือนละประมาณ 8,000-12,000 บาทในระยะเวลาเกือบ 1 ปี จึงทำให้มีเงินเหลือไม่มากนัก ส่วนพระกลุ่มที่เดินออกไปจากวัดนั้น เพิ่งจะมาออกค่าไฟฟ้าในช่วงระยะ 3-4 เดือนที่ผ่านมาเท่านั้น เนื่องจากทางพระครูเห็นว่ามีรายได้จากการออกไปบิณฑบาตมาจำนวนมากแล้ว จึงได้ให้จ่ายค่าไฟฟ้ากันเอง
ขณะที่เมื่อคืนที่ผ่านมาไม่ได้มีใครไล่ให้ออกไปจากวัด โดยพระสงฆ์และสามเณรกลุ่มดังกล่าวได้พากันเดินออกไปเองตามที่มีคนซึ่งเป็นพวกของเขาเข้ามาจัดการแนะนำบอกกล่าว โดยทางสำนักฯ เพียงแต่บอกว่าให้เข้ามาพูดคุยกันในเวลาบ่ายโมงของวันนี้เท่านั้น หลังจากพระสงฆ์ผู้ปกครองชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งนำโดยรองเจ้าคณะจังหวัดได้มาทำการตรวจสอบและเจรจาตกลงกัน ก่อนที่จะสั่งให้เปลี่ยนพระผู้ปกครองสงฆ์ใหม่ โดยให้เจ้าคณะตำบลเข้ามารักษาการณ์แทนอาตมา หลวงตาค้อ กล่าว
ด้านพระครูปริยัติธรรมกิจ (มาโนชญ์ มหาปุญฺโญ ป.ธ.3 พธ.บ พธ.ม) รองเจ้าคณะ จ.ฉะเชิงเทรา ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปิตุลาธิราชรังสฤษฎิ์ (วัดเมือง) พระอารามหลวง กล่าวว่า พระกลุ่มที่ออกไปเดินได้มีการร้องเรียนไปตามเอกสาร ว่าเจ้าอาวาสกลับมาบวชใหม่แล้วทำไมจึงยังใช้ฉายาเดิม รวมทั้งยังมีเรื่องของเงินกฐินที่ไม่โปร่งใสเป็นเรื่องหลัก รวม 2 เรื่อง ส่วนการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องจะให้ออกไปจากวัดนั้นไม่ทราบว่าเมื่อก่อนได้มีการพูดคุยอะไรกันไว้
แต่ได้มีการนัดหมายกันว่าจะให้มาพูดคุยกันในช่วงบ่ายของวันนี้ ขณะที่ทางพระสงฆ์ 3 รูปและสามเณร 5 องค์ได้พากันเดินออกไปก่อน ตั้งแต่เมื่อคืนนี้ตามที่เป็นข่าว อาตมาจึงต้องลงมาร่วมกันพิจารณาโดยได้นิมนต์เจ้าคณะอำเภอ รองเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบลและเจ้าอาวาสวัดเขตข้างเคียง ให้มาร่วมประชุมกัน จนได้ข้อสรุปว่า ในธรรมเนียมของสงฆ์ คือ การเข้าพรรษาจะไม่ไปค้างคืนอ้างแรมที่ไหน
และการที่จะให้ออกจากวัดไปในช่วงเข้าพรรษานั้น ธรรมเนียมไม่เคยมี อย่างน้อยต้องรอให้ออกพรรษาก่อนจึงค่อยว่ากัน โดยเรื่องที่เกิดขึ้นมาจากสาเหตุที่มีการออกรับบิณฑบาตก่อนเวลาในช่วงตีสามหรือตีสี่ของทุกวัน ขณะในช่วงเข้าพรรษานั้นได้มีการไปบอกกันว่า ก่อนจะออกบิณฑบาตนั้นต้องรอให้สว่างรับอรุณขึ้นก่อนจึงออกไป หรืออย่างน้อยต้องหลังจากตีห้าครึ่งไปแล้ว และควรที่จะกลับไม่เกินเวลา 09.00 น.
นอกจากนี้ยังได้ให้พระผู้ดูแลเก่านั้นลาออกไป โดยให้ทางเจ้าคณะอำเภอตั้งเจ้าคณะตำบลเข้ามาดูแลแทนเจ้าสำนักเดิม โดยให้วางกฎระเบียบใหม่และทำกิจของทางวัดตามที่วางไว้ เมื่อถามพระสงฆ์ที่ออกไปเดินเมื่อคืนแล้ว ได้ยอมรับปากว่าจะสามารถทำตามได้ จึงจะได้ให้อยู่ต่อไป โดยจะดูว่าระหว่างในช่วงพรรษานี้ ท่านจะทำตามกฎระเบียบที่เจ้าสำนักใหม่วางไว้ให้ได้หรือไม่ หากทำได้อาจจะอยู่กันต่อไปได้ แต่ถ้าหากทำไม่ได้เมื่อออกพรรษาแล้วจึงค่อยมาว่ากันอีกครั้ง ว่าเจ้าสำนักจะพิจารณากันอย่างไร
ส่วนข้อเท็จจริงได้มีการไล่ออกจากวัดไปจริงไหมนั้นไม่ทราบ อาจจะคุยกันไม่เข้าใจ ที่เขามาบอกว่าในเวลา 13.00 น. ของวันนี้ ให้เข้ามาคุยกันโดยที่เขายังไม่ได้ไล่ให้ไป แต่ให้มาปรึกษากันเกี่ยวกับกฎระเบียบให้เข้าใจ หากทำไม่ได้จึงจะให้ออกไป ถ้ามีความเห็นว่าให้ออกไปแล้วแต่ยังไม่ยอมออก จึงจะมีความผิดตามข้อกฎหมายข้อนั้นข้อนี้ แต่ได้มีการพากันเดินออกไปก่อน โดยอ้างว่าเพราะกลัวผู้ดูแลสำนักฯ จึงได้ชิงออกไป
สำหรับเจ้าสำนักที่เคยดูแลที่นี่นั้น ได้ป่วยจึงออกไปรักษาตัว โดยก่อนจะไปได้มีคำสั่งแต่งตั้งให้มีผู้ดูแลแทนแบบเป็นลายลักษณ์อักษรไว้แล้ว โดยที่ผู้ที่ดูแลแทนนั้นไม่กล้าที่จะตัดสินใจทำอะไรต่างๆ ส่วนเงินกฐินนั้นได้ให้ผู้ดูแลใหม่เร่งเข้ามาจัดการผู้ดูแลให้เรียบร้อย ซึ่งไม่ได้หายไปไหน แต่มีการใช้จ่ายไปตามรายการที่นำมาแจกแจง แต่ก็ยังมีส่วนที่มีผู้มายืมไปบ้างอะไรบ้าง ซึ่งก็ถือว่าไม่ถูกต้อง เพราะว่าเงินของวัดให้ผู้นั้นผู้นี้มาหยิบมายืมไปไม่สมควร
หรือหากจะหยิบยืมก็ต้องทำให้ถูกต้อง มีพยานรู้เห็นยืมไปเมื่อไหร่ จะเอามาคืนเมื่อไหร่ ซึ่งบางทีก็มีญาติโยมเดือดร้อน คนข้างวัดหรือคนในวัดเดือดร้อน ก็อาจพอที่จะอนุเคราะห์กันไปได้ แต่ต้องมีกฎระเบียบ ซึ่งส่วนใหญ่พบว่าเป็นกลุ่มลูกศิษย์ลูกหาที่เข้ามายืม ซึ่งมียอดประมาณ 2.2 แสนบาท โดยทราบว่าได้มีการชี้แจงให้ทางกลุ่มพระสงฆ์ที่พากันเดินออกไปจากสำนักนี้ทราบแล้ว แต่ว่าไม่ฟังกัน
สำหรับเงินของวัดก็ควรจะจัดการให้กลับคืนมาอยู่ที่วัด เผื่อไว้ใช้จ่ายเป็นค่าน้ำค่าไฟ หากไม่มีจะเดือดร้อน ส่วนสามเณรจะหาที่ศึกษาเล่าเรียนต่อให้ โดยไม่ต้องกลับมาที่นี่อีก สำหรับพระสงฆ์ 3 รูปจะให้กลับมาอยู่จนครบพรรษา โดยพระกลุ่มที่ออกไปบิณฑบาตไกลๆ ได้อ้างว่าที่ต้องออกไปไกลๆ นั้น ก็เพื่อให้ได้ปัจจัยนำมาใช้เป็นค่ารถ ค่าน้ำมันสำหรับไปส่งสามเณรไปเรียนที่วัดแจ้งประจันตาม จ.ปราจีนบุรี
แต่หลังจากนี้ เมื่อไม่มีสามเณรแล้วก็ไม่ต้องมาเดือดร้อนในเรื่องนี้จึงให้กลับมาอยู่ต่อไป โดยเมื่อคืนทราบว่าไปพักกันอยู่วัดแห่งหนึ่งในตัวเมืองฉะเชิงเทรา และบอกว่าจะกลับเข้ามาก่อนค่ำวันนี้ โดยจะมีการตักเตือนกันไปก่อน ตามที่มีการกระทำอะไรไปโดยพละการ แม้จะไม่มีความผิดร้ายแรง โดยเป็นเพียงการขาดพรรษาไปเท่านั้น แต่เมื่อมีข่าวออกไปอย่างนี้จึงดูไม่เหมาะ ที่ความจริงยังไม่ได้ถึงขั้นที่จะไล่ออกไปอะไรทั้งสิ้น เพียงแต่ว่ายังคุยกันไม่รู้เรื่องเท่านั้น พระครูปริยัติธรรมกิจ กล่าว
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: