ฉะเชิงเทรา – “สมโภชน์ อาหุนัย” เดินสายร่ายมนต์กล่อมมวลสมาชิกสภาอุตฯ แปดริ้วหาแรงหนุนศึกชิงประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ระบุไม่พายเรือในอ่าง พร้อมเดินหน้าทำงานผนึกอุตสาหกรรมทุกกลุ่มให้เป็นหนึ่งเดียว เสนอระดับรัฐบาลช่วยขับเคลื่อนพร้อมยกผลงานให้เป็นเครดิตรัฐบาล ระบุอดีตเปลี่ยนรัฐบาลบ่อยทำการพัฒนาชะงัก
วันที่ 14 มี.ค.67 เวลา 15.30 น. นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทพลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ผู้ได้รับเสนอตัวเป็นแคนดิเดดประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) แข่งกับ นายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธาน ส.อ.ท. คนเดิม โดยจะมีการเลือกตั้งกรรมการ ส.อ.ท. ในวันที่ 25 มี.ค.67 และจะได้ผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเลือกประธานในวาระ 2567-2569 เป็นผู้ดำรงตำแหน่งประธาน ส.อ.ท.คนต่อไป ได้เดินทางมาปาฐกถา แสดงวิสัยทัศน์ต่อกรรมการและสมาชิกสภาอุตสาหกรรมฉะเชิงเทรา ยังที่โรงแรมซันธาราเวลเนสรีสอร์ท ต.คลองนา อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา
ข่าวน่าสนใจ:
ในการแสดงวิสัยทัศน์นำเสนอนโยบาย นายสมโภชน์ ได้กล่าวถึงเรื่องราวความเป็นมาในอดีตก่อนจะเติบโตขึ้นมาเป็นประธานบริษัทของกลุ่ม EA พร้อมได้กล่าวถึงความสนใจที่จะเข้ามาเป็นประธาน ส.อ.ท. เนื่องจากคิดว่าสภาอุตสาหกรรมเป็นแกนหลักของภาคเอกชนที่รัฐบาลให้การยอมรับ โดยมีเพียงไม่กี่องค์กรเท่านั้นที่รัฐบาลรับฟัง เช่น หอการค้า สมาคมธนาคาร โดยมีจุดมุ่งหมายคือการได้มีโอกาสมาขายไอเดีย ที่จะเปลี่ยนแปลงการบริหาร ส.อ.ท. ให้เป็นในเชิงรุกมีความสามัคคีในการทำยุทธศาสตร์ร่วมกัน
โดยระบุว่าประเทศไทยรอไม่ได้ ที่ผ่านมาไม่ก้าวหน้าในการคิด แก้ไขปัญหาช้า ส่วนใหญ่เป็นการตั้งรับโดยไม่รุก แม้ประเทศเราจะไม่สามารถไปกำหนดทิศทางโลกได้ แต่เราต้องปรับตัวให้ทันเพื่อไปยืนในจุดที่เหมาะสม ไปคว้าโอกาสที่เกิดจากวิกฤตทางความคิดในการค้าระหว่างโลกตะวันตกและตะวันออก (จีน-สหรัฐฯ) โดยต้องมีนโยบายที่ชัดเจนให้เกิดการลงทุน ที่สามารถทำให้เศรษฐกิจอุตสาหกรรมยกขึ้นทั้งแผง จึงต้องเดินกันเป็นทีมและต้องช่วยกัน
โดยรัฐบาลเป็นผู้กำหนดนโยบาย เพราะมีงบประมาณ เอกชนเป็นม้าขยัน เราจะทำอย่างไรให้รัฐบาลสนใจเข้ามาส่งเสริมอุตสาหกรรมของคนไทย หรืออุตสาหกรรมที่อยู่ในประเทศอย่างจริงจัง ในขณะที่ผู้มาเป็นรัฐบาลเองนั้น ก็อยากได้ภาพอยากได้ประชานิยมและอยากได้อำนาจ โดยเขามีอำนาจที่จะเปลี่ยนกฎเกณฑ์ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฝังเมืองหรือเรื่องอะไรก็ตาม หากรัฐบาลเอาด้วยก็จะสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว
ที่ผ่านมาต้องเสียเวลามากเพราะต้องไปพยายามทำให้ฝ่ายรัฐเข้าใจ และอยากจะทำร่วมกับเรา ถ้าเอาประชาชนและภาคอุตสาหกรรมเป็นที่ตั้งโดยที่ฝ่ายรัฐอยากจะให้เกิดเป็นผลงานนั้น เราก็เอาใส่มือให้เขาไปเชื่อว่าเขาจะช่วยเราแน่นอน จึงต้องสร้างอุตสาหกรรมให้เกิดการพึ่งพาอาศัยกัน ช่วยกันและแบ่งปันกัน เราจะโตแบบสมัยก่อน ที่ต่างคนต่างโตไม่ได้แล้ว
ในการที่จะไปเชิญต่างประเทศให้มาลงทุนเพียงอย่างเดียว โดยจะไปบอกกับเขาว่าค่าแรงงานเราถูกก็ไม่ใช่ ราคาที่ดินถูกก็ไม่ใช่ ตลาดจะเติบโตก็ไม่ใช่ เพราะคนเริ่มอายุมากขึ้นแต่ประชากรเริ่มลดลง ยอดขายจึงไม่เติบโต เราต้องสร้างเมกะโปรเจคเพื่อดึงคนเข้ามาลงทุนให้เขามั่นใจว่าประเทศไทยเราเอาจริงทำจริง เราต้องมียุทธศาสตร์ระหว่างเอกชนและรัฐบาลที่ต้องร่วมมือกันทำงาน จึงจะดึงดูดการลงทุนเข้ามาได้
จึงอยากจะทำให้เกิดการพูดคุยกันในบ้านเราก่อน เพราะ ส.อ.ท. เปรียบเสมือนการย่อประเทศให้เล็กลงมา เพราะอุตสาหกรรมทั้ง 46 กลุ่มเข้ามาอยู่รวมกันใน ส.อ.ท. หากเราต่างคนต่างไปขอให้รัฐบาลช่วยทำอะไร รัฐก็อาจจะงงว่าจะช่วยอย่างไหนก่อน แต่หากเราทำงานเชิงรุกด้วยการเอาอุตสาหกรรมแต่ละกลุ่มมานั่งพูดคุยกันในฐานะพี่น้องในบ้านเดียวกันรู้จักกัน มาคุยข้ามอุตสาหกรรมกันว่าจะเดินไปกันอย่างไร และหากตกลงกันได้เราจะเดินไปด้วยกัน
ไปคุยกับรัฐบาลพร้อมกันแบบยกแผง ไปทำให้รัฐบาลเกิดความเชื่อถือในการรับฟังความต้องการ ว่าพวกเราทุกคนจะร่วมกันทำอย่างไรให้สำเร็จ และจะยกผลงานที่เกิดขึ้นให้แก่รัฐบาล จึงเชื่อว่าไม่มีรัฐบาลชุดไหนจะไม่สนับสนุน หากทำอย่างนั้นได้เขาก็จะมาช่วยเรา เอางบประมาณมาอะไรมาในส่วนที่เราขาด จะเกิดการเติบโตไม่พายเรือในอ่างแบบวกไปวนมา เป็นการทำงานแบบบูรณาการและเชิงรุก
การคิดแผนยุทธศาสตร์นี้ให้เกิดขึ้น จึงต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งสภาอุตสาหกรรมระดับจังหวัดและส่วนกลางให้ทำงานร่วมมือกัน โดยจะทำอย่างไรให้แต่ละจังหวัดนำจุดเด่นออกมาแล้วดึงดูดให้เกิดการลงทุนทั้งระยะกลาง ระยะสั้น และระยะยาว คือสิ่งที่จะต้องมานั่งคิดกัน ที่ผ่านมาปัญหาอุปสรรคของ SME คือการไม่ประสานงานกันระหว่างภาครัฐและเอกชน หากมีโอกาสได้มาทำหน้าที่นี้ จะพยายามทำสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้นและเดินไปด้วยกันแบบยกแผง
สิ่งที่จะต้องทำต่อไป คือ เราจะไม่จำกัดขีดความสามารถของตัวเราเอง เมื่อเราทำ 1 ได้เราต้องทำ 2 และ 3 ได้ เพราะโลกหมุนตลอดเวลา หากเราไม่พัฒนาเพื่อนบ้านเราที่แข่งอยู่เขาก็จะแซงเรา จึงต้องมานั่งคิดว่าจะเพิ่มความสามารถของสมาชิกได้อย่างไร ฝ่ายรัฐบาลจะช่วยเราได้ตรงไหน ฝ่ายการศึกษาจะทำอย่างไรต้องเดินกันไปเป็นองคาพยพ หากอยากจะเดินไปข้างหน้าต้องมาคิดมาฝันด้วยกัน ไม่ใช่ต่างคนต่างเดิน
วันนี้ยังไม่เคยมีการทำในสิ่งเหล่านี้ ซึ่งจริงๆ เป็นสิ่งที่มีความสามารถของทุกคนที่อยู่ในสภาอุตสาหกรรม ยังไม่เคยมีใครทำให้ทุกคนมาเดินไปด้วยกัน เหมือนการเล่นดนตรีกันคนละเพลง หากทำให้ทุกคนมาเล่นเพลงเดียวกันได้ทั้งหมดจะทำให้ประเทศมีโอกาสและอนาคตในวันข้างหน้า และสิ่งที่จะทำให้เราเติบจะโตต่อไป เราต้องสร้าง SME มากๆ จะทำให้อุตสาหกรรมขยายตัว ด้วยการสร้างรายใหม่ให้เกิดขึ้นมาให้ได้
สิ่งที่ได้พูดมานั้น เป็นสิ่งที่รัฐบาลอยากได้ทั้งนั้น แต่รัฐบาลเปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่าจึงทำไม่สำเร็จสักที เพราะไม่มีการบูรณาการในการคิด ไม่มีทีมงานที่จะทำจริงๆ คนทำไม่ได้ทำคนคิดก็คิดไป วันนี้จึงอยากมาเริ่มทำงานให้ทุกคนมาร่วมกัน อยากต่อยอดมารวมกันใน 3-4 นโยบายที่พูดไป เชื่อว่าเราจะทำอะไรได้ดีขึ้น ฉะนั้นสภาอุตสาหกรรมต้องมีการเปลี่ยนเป็นเชิงรุก ต้องทำแผนยุทธศาสตร์ที่สมาชิกทุกคนยอมรับ กลุ่มอุตสาหกรรมทุกกลุ่มต้องไปด้วยกัน
สิ่งที่ต้องเปลี่ยนไปหากได้โอกาส คือ 1 การทำงานจะไม่ตั้งรับแต่จะรุก 2 โปร่งใสตรวจสอบได้ 3 รับฟังความคิดเห็น มีความเท่าเทียมระหว่างส่วนกลางและต่างจังหวัด รายได้คืนสู่จังหวัด 30 เปอร์เซ็นต์ จะเป็นมิติใหม่โดยมีจุดมุ่งหมาย 3 ข้อคือ 1 ได้มีโอกาสมาขายไอเดียว่าจะเปลี่ยนแปลงการบริหารอย่างไร เราต้องเป็นเชิงรุก มีความสามัคคีในการทำยุทธศาสตร์ร่วมกันอย่างไร ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาเป็นอย่างไร ก็ขอให้สนับสนุนแนวคิดนี้ให้เกิดเป็นรูปธรรม และตนจะสนับสนุนด้วยไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใดก็ตาม 2 ได้โอกาสมาเจอกัน ได้รู้จักกันมากขึ้น นายสมโภชน์ กล่าว
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: