ฉะเชิงเทรา – วิญญาณกองกระดูกเขาจันทร์ร้องขอความช่วยเหลือจากผู้คนมานานหลายเดือนแล้ว แต่หนุ่มน้อยวัย 22 ปีขวัญกระเจิงเผ่นหนีป่าราบ ขณะขึ้นไปไล่ล่าไก่ป่า ก่อนนำไปเล่าบอกต่อให้คนในครอบครัวฟัง สุดท้ายหลังปรากฏเป็นข่าวพบมีผู้เสียชีวิตในบริเวณไหล่เขาจริง ถึงกับตกใจและเสียดายที่ไม่ได้ช่วยตั้งแต่แรก เชื่อวิญญาณอยากกลับบ้าน ขณะผู้สื่อข่าวถ่ายภาพไม่ติดหลังย้อนดูที่เกิดเหตุในเวลากลางวัน
วันที่ 6 เม.ย.67 เวลา 12.00 น. ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก น.ส.บังอร เกษมณี อายุ 44 ปี ชาวบ้านหมู่ 5 ต.ทุ่งพระยา อ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา ผู้มีอาชีพรับจ้างทำไร่บนเนื้อที่กว่า 300 ไร่ บริเวณด้านหน้าเขาจันทร์ ด้านฝั่งถนนสาย 359 เขาหินซ้อน-สระแก้ว ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับบุตรชายของตน ที่เชื่อว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับการมาพบซากโครงกระดูกมนุษย์ที่บริเวณเชิงเขาจันทร์เมื่อวันที่ 3 เม.ย.67 ที่ผ่านมาว่า
เมื่อประมาณ 3-4 เดือนก่อนบุตรชายของตน คือ นายสุวัฒน์ ดุษะนอก อายุ 22 ปี ซึ่งเดิมนั้นเคยเป็นจิตอาสาชุดเฝ้าระวังผลักดันช้างป่าจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน ที่ออกมาหากินรบกวนชาวบ้านในบริเวณนี้ และได้มาช่วยตนเองทำไร่ของนายจ้างที่บริเวณแปลงพื้นที่สวนปาล์ม และแปลงปลูกไม้สัก หน้าเขาแห่งนี้ และหลังจากทำงานในไร่เสร็จในช่วงเย็น เวลาประมาณ 18.00 น. ของวันพบเหตุการณ์ประหลาด บุตรชายได้เข้าไปวางบ่วงเพื่อจับไก่ป่าที่บริเวณเชิงเขาจันทร์
ได้บอกเล่าว่า ได้ยินเสียงประหลาดเดินลุยเหยือบย่ำใบไม้แห้งอยู่ในป่า แต่เมื่อหันไปมองหาตามเสียงที่ดังโดยรอบ กลับไม่เห็นอะไร และยังเดินวนอยู่หลายครั้งจนทำให้บุตรชายได้เอ่ยขึ้นมาว่า “เออ..งั้นไม่หาแล้วกลับบ้านดีกว่า” แต่พอเดินกลับออกมาค่อมรถ จยย. เพื่อขับออกมาจากป่า กลับมีเสียงคล้ายกับมีใครกำลังวิ่งตามหลังมาอีก คล้ายกับว่ากำลังจะมีสิ่งลี้ลับดลบันดาลใจ อยากจะให้รู้อะไรตั้งแต่เมื่อครั้งนั้นแล้วหรือไม่
แต่หลังจากถูกวิ่งตามมาเรื่อยๆ บุตรชายจึงได้หยุดรถ แล้วได้หันไปร้องบอกกลับไปว่า “เฮ้ย…มึงเป็นใครวะ ถึงมาวิ่งตามกู” ซึ่งโดยปกติแล้วบุตรชายและตนเองนั้นมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว อีกทั้งยังเป็นคนที่มีสัมผัสเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้อยู่บ้าง ในการสื่อสารกับความเร้นลับเหล่านี้ได้ จึงเชื่อว่าน่าจะเป็นการเข้ามาขอความช่วยเหลือจากวิญญาณที่อยู่ในบริเวณนั้น แต่ไม่รู้ว่าต้องการความช่วยเหลือในด้านใด และเมื่อเกิดความกลัวบุตรชายจึงได้รีบกลับออกมาก่อน
จนกระทั่งในวันที่มีการมาพบโครงกระดูกมนุษย์ ที่กองกระจัดกระจายอยู่บนไหล่เขา บุตรชายจึงได้มาบอกกับตนว่า “หนูว่าแล้ว เขามาดลบันดาลใจอยากให้หนูไปเจอเขาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว แต่ว่าหนูไม่กล้าขึ้นไปบนเขา” โดยตนเองนั้นจะออกมาทำงานที่ไร่แห่งนี้ทุกวัน และจะต้องเดินทางผ่านเส้นทางอ้อมลัดเลาะชายเขาอยู่ตลอด แต่ยังไม่เคยพบเจอด้วยตนเอง ซึ่งปกตินั้นตนจะสามารถสัมผัสวิญญาณได้ และก็มักจะบอกกับสิ่งเร้นลับอยู่เสมอว่า “เรามาดีนะ เรามาทำมาหากิน ขอให้ช่วยปกปักษ์รักษาช่วยคุ้มครองดูแลเราด้วย” ทำนองนี้ จึงไม่พบเจอกับอะไร
แม้แต่ช้างป่าที่มักออกมารบกวนในไร่ของชาวบ้าน ตนก็ได้บอกกับเขาไปว่า “พ่อพลาย แม่พลายเอ้ย ลูกมาทำมาหากินอยู่ตรงนี้ มารับจ้างอยู่ตรงนี้ ข้าวของอะไรที่ว่าไม่ดีก็อย่ามาทำลาย เพราะเขาลงทุนสูง ต้นกล้าปาล์มต้นหนึ่งก็ 200-300 บาทแล้ว” เราก็จะบอกเขาไป และเขาก็ไม่ได้มาทำลายให้ได้รับความเสียหาย ทั้งที่ของคนอื่นข้างเคียงนั้นถูกทำลายเสียหายหมด
อีกทั้งเมื่อก่อนหน้านี้ ได้เคยไปรับจ้างกรีดยางอยู่ในพื้นที่ ม.5 ต.ทุ่งพระยา บริเวณใกล้ๆ บ้าน ได้มีช้างป่าเข้ามาหาในสวนยางพารากว่า 50-60 ตัว และตีวงล้อมสวนไว้ ตนจึงได้บอกเขาไปว่า “พ่อพลายแม่พลาย ลูกมารับจ้างอยู่ตรงนี้ ไม่ได้คิดร้ายกับพ่อกับแม่เลย อย่าทำอะไรเลย” เพื่อร้องขอเขา จากนั้นพวกเขาก็พากันเดินหลบไป จึงคิดว่าที่เขาเคยทำร้ายคน และเหยียบคนตายนั้น เป็นเพราะต่างคนต่างไปจ๊ะเอ๋กัน ท่านก็วิ่งเราก็วิ่ง โดยท่านก็กลัวว่าเราจะทำร้ายท่าน ท่านจึงวิ่งไล่เรา เป็นลักษณะต่างคนต่างตกใจกันจึงวิ่งใส่กัน เมื่อถามว่าเขาใจร้ายไหม เขาก็ไม่ใจร้ายนะช้างป่า ไม่ได้ใจร้ายเลย น.ส.บังอร กล่าว
และกล่าวต่อว่า ที่บริเวณเชิงเขาจุดที่พบโครงกระดูกมนุษย์นั้น ก็เคยเป็นจุดที่ช้างป่าขึ้นไปอยู่ด้วย เป็นจุดที่เขาพากันไปหลบนอนพักผ่อนกันในบริเวณนั้น จึงไม่แน่ใจว่าคนที่เสียชีวิต เขาขึ้นไปในบริเวณนั้นแล้วถูกช้างป่าทำร้ายหรือไม่ แต่ตนก็ไม่ได้ขึ้นไปดูด้วยในวันนั้น จึงไม่ทราบว่าเป็นจุดเดียวกันที่ตรงกันกับจุดที่ช้างเคยนอนหรือไม่ แต่เขาจะขึ้นไปทำไมนั้นไม่ทราบ โดยในเขตตำบลทุ่งพระยาในหลายหมู่บ้านนั้นไม่มีคนหาย จึงไม่รู้ว่าเป็นคนที่ไหนและมาที่นี่ได้อย่างไร
โดยพื้นที่รอบเขาจันทร์มีหมู่บ้านอยู่ใกล้บริเวณนี้ คือ หมู่ 5 ม.9 ม.3 ม.18 ต.ทุ่งพระยา ไม่ได้มีใครหายไป ส่วนฝั่งหน้าเขานี้เป็นคนละเขตคนละจังหวัดกันแล้ว เป็นเขต ต.เขาไม้แก้ว อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี จึงเชื่อในเรื่องที่บุตรชายเล่ามาว่า เขาน่าจะอยากกลับบ้าน และได้พยายามร้องขอความช่วยเหลืออยากให้มีคนไปเห็นเขามานานแล้ว และหลังจากเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นกับบุตร เขาก็ไม่ได้มาบริเวณแถวนี้อีกเลย เป็นเวลากว่า 3-4 เดือนแล้ว โดยบุตรชายได้ไปทำงานในโรงงานแล้ว และเมื่อเขาจะมาหาตนยังที่ไร่ เขาก็จะไม่ใช้เส้นทางเลาะผ่านชายเขาอีกเลย น.ส.บังอร ระบุ
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่าระหว่างที่เข้าไปดูบริเวณที่เกิดเหตุในเวลากลางวัน ช่วงเวลาประมาณ 13.00 น. พร้อมด้วยอาสาหน่วยกู้ภัยพนมสารคาม จุดทุ่งพระยา และได้ถ่ายภาพและภาพวีดีโอในบริเวณที่เกิดเหตุไว้ด้วย แต่ปรากฏว่าในช่วงแรกที่กำลังเดินจะเดินก้าวเข้าไปยังในเขตป่าที่เกิดเหตุ ออกจากถนนลูกรังซึ่งเป็นทางลาดชันขึ้นไปบนไหล่เขา ปรากฏว่ากดถ่ายภาพไม่ได้ และเมื่อถ่ายภาพวีดีโอกลับกลายเป็นภาพมืดที่หน้าจอ และกลายเป็นภาพพื้นสีเขียวในช่วงเวลาสั้น ๆ ประมาณ 5 วินาที จากนั้นจึงสามารถถ่ายภาพได้ตามปกติ
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: