X
Fire

ไฟไหม้บ้าน ครอบครัวผู้ทำคุณประโยชน์สละเลือดให้แก่แผ่นดิน

ฉะเชิงเทรา – ไฟไหม้บ้านพัก ครอบครัวของผู้เคยทำคุณประโยชน์ต่อผืนแผ่นดินจากรุ่นพ่อสู่รุ่นลูก ที่ได้เสียสละทั้งแรงกายและชีวิตในสมรภูมิอินโดจีน ขณะแม่เฒ่าเสาหลักของบ้านผู้ที่ยังคงมีชีวิตอยู่ป่วยติดเตียงถูกหิ้วหนีพ้นจากกองเพลิงได้อย่างหวุดหวิด ส่วนหมาแมวรับเคราะห์แทนนายตายในกองเพลิง 3 ตัวด้าน อปท.พื้นที่ขยับเยียวยารุดช่วยเหลือเบื้องต้นอย่างเป็นการด่วนทันทีหลังเกิดเหตุ

เพลิงไหม้กลางดึก

วันที่ 3 พ.ค.67 เวลา 12.30 น. ผู้สื่อข่าวได้เดินทางลงพื้นที่ไปยังที่บ้านเลขที่ 68 ม.4 ต.บางแก้ว อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นบ้านของ นางสมนึก วัยเจริญ อายุ 88 ปี เพื่อตรวจสอบกรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้บ้านพักของอดีตนายทหารผ่านศึกในสมรภูมิสงครามอินโดจีน เหตุเกิดเมื่อช่วงเช้ามืด (03.00 น.) ที่ผ่านมาของวันนี้ และยังเป็นบ้านพักของผู้เสียสละ อดีตทหารผู้เป็นบุตรชายในรุ่นต่อมาที่ได้พลีชีพในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ ขณะกำลังเข้าเก็บกู้ทุ่นระเบิดทำลายรถถัง บริเวณตามแนวชายแดนเมื่อหลายปีที่ผ่านมา

เพลิงโหมหนัก

พบว่าบ้านได้ถูกเพลิงไหม้ได้รับความเสียหายไปหมดแล้วทั้งหลัง โดยเป็นบ้านไม้ยกพื้นสูงหลังใหญ่กว้างประมาณ 25 เมตรยาวประมาณ 30 เมตร หลังคามุงด้วยสังกะสีต่อเติมด้านล่างด้วยอิฐบล็อกฉาบทับด้วยปูนซีเมนต์ อยู่ในสภาพที่ถูกเพลิงเผาจนเหลือแต่เพียงเศษซากของเสาไม้และแผ่นฝาหนังคอนกรีต พบนายคมสันต์ วัยเจริญ อายุ 71 ปี อยู่บ้านเลขที่ 14/1 ม.3 ต.บางแก้ว ซึ่งเป็นบุตรชายคนโตของเจ้าของบ้าน พร้อมด้วยบุตรชายและเพื่อนบ้าน ที่ได้มานั่งเฝ้าทรัพย์สินและรอเจ้าหน้าที่ตำรวจวิทยาการพิสูจน์หลักฐานอยู่ภายในบริเวณที่เกิดเหตุ

บ้านไม้ยกพื้นต่อเติมคอนกรีต

โดยนายคมสันต์ กล่าวว่า บ้านหลังนี้เป็นบ้านไม้เก่าแก่ปลูกสร้างมานานเกือบ 100 ปีแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่ตนจะเกิด ขณะเกิดเหตุมีมารดาซึ่งป่วยติดเตียงด้วยโรคไขมันคอเลสเตอรอลอุดตันเส้นเลือด และเบาหวานความดันสูง แต่ยังพอลุกได้บ้าง โดยต้องช่วยกันประคองเดิน ปกติจะไปไหนต้องนั่งบนรถเข็นวีลแชร์ ช่วงที่เกิดเพลิงไหม้ครั้งแรกนั้นน้องสาวผู้อยู่ในเหตุการณ์นั้น ได้ตื่นขึ้นมาเห็นเพลิงไหม้ขึ้นที่มุมหัวเสากลางบ้าน บริเวณชั้นบนซึ่งไม่มีใครอยู่อาศัย

บ้านไม้เก่าแก่

เพราะส่วนใหญ่จะมาพักอาศัยอยู่กันที่บริเวณชั้นล่างกันหมด ซึ่งเป็นส่วนต่อเติมเป็นห้องคอนกรีตที่ใต้ถุนบ้านเก่า ครั้งแรกน้องสาวทั้งสองคน คือ น.ส.รัศมี วัยเจริญ อายุ 59 ปี ซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ในบ้านกับผู้เป็นมารดาที่บ้านหลังนี้เพียงลำพัง 2 คน และน้องสาวอีกคน คือ นางสมหมาย วัยเจริญ อายุ 62 ปี อดีตพยาบาล รพ.ราชวิถี วัยเกษียณอายุ ที่จะเดินทางไปๆ มาๆ เพื่อมาช่วยดูแลมารดา ได้พยายามที่จะหาน้ำมาช่วยกันดับไฟก่อน เพราะเห็นว่าไฟยังลุกไม่รุนแรงมาก

ไหม้หมดทั้งหลัง

แต่ก็ยังเป็นห่วงมารดาซึ่งนอนติดเตียงอยู่ในบ้านที่ชั้นล่าง จึงได้พากันช่วยพยุงลุกออกมาจากเตียงไปยังภายนอกตัวบ้าน และเมื่อจะหันกลับไปดับไฟแต่พบว่าเพลิงได้โหมลุกขึ้นอย่างรุนแรงแล้ว เกินกว่าที่จะดับได้ทัน บ้านทั้งหลังจึงถูกไฟลุกไหม้เสียหายจนหมด แม้จะมีรถน้ำดับเพลิงมาจาก อปท.ในพื้นที่เข้ามาช่วยดับแต่ก็ไม่ทันแล้ว

เหลือแต่ซาก

หลังเกิดเหตุได้พบว่าสุนัขพันธุ์ไทยที่เลี้ยงไว้ 2 ตัวได้หายไป 1 ตัว และมีแมวไทย 3 สีหายไป 2 ตัว โดยได้รับการยืนยันจากทางเจ้าหน้าที่ดับเพลิงว่า พบซากสุนัขภายในกองเพลิง 1 ตัว ส่วนแมวที่หายไปทั้ง 2 ตัวยังหาไม่พบ เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านพักของอดีตนายพลทหารเรือตามที่ชาวบ้านบอกเล่ากันใช่หรือไม่ นายคมสันต์ ตอบว่า บิดาตนเคยเป็นทหารผ่านศึก ชื่อ “ฉลวย วัยเจริญ” เคยไปร่วมรบในสงครามอินโดจีน แต่ไม่ทราบว่ามียศอะไร เนื่องจากได้เสียชีวิตไปนานแล้ว

เยียวยา

ส่วนน้องชายคนที่ 4 นั้น เป็นอดีตทหารบกใน จ.ปราจีนบุรี และอยู่ในหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิดที่ได้ออกไปเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามแนวชายแดน จ.สระแก้ว และเสียชีวิตลงจากการเก็บกู้ทุ่นระเบิดทำลายรถถังใน อ.คลองหาด จ.สระแก้ว จนเป็นข่าวดังเมื่อหลายปีก่อน และมีน้องสาวเป็นพยาบาลแต่ปลดเกษียณแล้ว เหลือเพียงน้องชายคนเล็กที่ยังเป็นตำรวจยศร้อยตำรวจโท สังกัด ตม. แถบย่านดอนเมืองอยู่ นายคมสันต์ กล่าว

อปท.รุดช่วยเหลือ

หลังเกิดเหตุการณ์เพลิงไหม้ขึ้นที่บ้านหลังนี้ เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาเวลา 10.00 น. นายกิตติ เป้าเปี่ยมทรัพย์ นายก อบจ.ฉะเชิงเทรา พร้อมด้วย นายภูไท เป้าเปี่ยมทรัพย์ นายก อบต.บางแก้ว ได้เดินทางลงพื้นที่เพื่อเข้ามาให้การเยียวยาช่วยเหลือในเบื้องต้น เป็นเงินสดจำนวนหนึ่ง พร้อมด้วยข้าวสารอาหารกระป๋อง รวมถุงยังชีพและเครื่องใช้ที่จำเป็นแก่ครอบครัวผู้ประสบภัยแล้ว

เหลือรอดตัวเดียว

ถูกใจข่าวนี้ไหม?

คลิกที่ดาวเพื่อโหวต

ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต:

ติดตามข่าวสารผ่าน Line 77 ข่าวเด็ด กดปุ่มเพิ่มเพื่อนเลย

เพิ่มเพื่อน

Picture of สนทะนาพร อินจันทร์

สนทะนาพร อินจันทร์

ลุยงานช่วยเหลือคนเดือดร้อนมาทั้งชีวิต อย่างไม่คิดเรียกสิ่งตอบแทน