ฉะเชิงเทรา – ทุบกระจกหนีตาย ตลิ่งแม่น้ำบางปะกงถูกกัดเซาะทำดินสไลด์บ้านทั้งหลังพังตกน้ำ เบื้องต้นเดือดร้อน 5 หลังคาเรือน ขณะ จนท.เร่งระดมกำลังช่วยขนย้ายสิ่งของวุ่น ชี้สาเหตุเกิดจากการทำแนวทำนบหินและสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งตามชายแม่น้ำแบบต่างคนต่างทำไม่พร้อมเพียงกัน ทำเกิดกระแสน้ำวนเปลี่ยนทิศทางมวลน้ำแทงลึกเข้ามาสู่หมู่บ้านที่ยังไม่มีแนวป้องกัน
วันที่ 19 ธ.ค.67 เวลา 08.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 03.00 น. ที่ผ่านมาได้เกิดเหตุดินแนวตลิ่งริมแม่น้ำบางปะกงพังทลาย ทำให้มีบ้านเรือนประชาชนสไลด์พังตกลงไปยังชายแม่น้ำ 1 หลังคาเรือน และเกิดการเอียงทรุดตัวพังเสียหาย 1 หลัง นอกจากนี้ยังอยู่ในแนวตลิ่งแตกร้าวอีก 3 หลัง ที่บริเวณในซอยสถานีอนามัยเก่า ด้านข้างวัดแสนภูดาษ พื้นที่ ม.2 ต.แสนภูดาษ อ.บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา ทำให้มีประชาชนได้รับความเดือดร้อนจำนวน 15 คนจากบ้านเรือนรวม 5 หลัง
ข่าวน่าสนใจ:
สอบถาม นางพิมพ์ผกา ศิลปายะ อายุ 56 ปี อยู่บ้านเลขที่ 73 ม.2 ต.แสนภูดาษ บ้านหลังแรกจากปากซอยทางเข้า ซึ่งอยู่ติดชายแม่น้ำบางปะกง เล่าว่า เมื่อคืนที่ผ่านมาเวลาประมาณ 03.00 น. ขณะกำลังนอนอยู่ในบ้านพร้อมกับสามีรวม 2 คน ได้ยินเสียงของการแตกร้าวที่ตัวบ้านดังสนั่น จนรู้สึกได้ว่าบ้านกำลังเอียงทรุดตัวลง จึงได้รีบลุกขึ้นมาจากในห้องนอนเพื่อหาทางออกจากบ้าน ท่ามกลางความมืด แต่ปรากฏว่าหาทางออกจากตัวบ้านไม่ได้
เนื่องจากประตูทางเข้าบ้านนั้นอยู่ติดกับริมแม่น้ำ และมีการทรุดตัวของพื้นคอนกรีตที่แตกร้าวลงไปแล้วจึงได้พยายามทุบกระจกเพื่อพังบ้านออกมา โดยได้ร้องเรียกเพื่อนบ้านข้างเคียงให้ช่วยส่งค้อนปอนด์มาช่วยทุบจนออกมาจากตัวบ้านได้สำเร็จ เมื่อออกมาดูพบว่าแนวรั้วของตัวบ้านที่อยู่ติดกับริมแม่น้ำได้พังหายไปนับสิบเมตร ขณะที่ตัวบ้านแตกร้าวเอียงใกล้จะตกลงไปในน้ำแล้ว นางพิมพ์ผกา กล่าว
ขณะที่ นางมาลี โยยิ่ง อายุ 43 ปี อยู่บ้านเลขที่ 71/1 ม.2 ต.แสนภูดาษ ชาวบ้านใกล้กันเล่าว่า เมื่อช่วงเวลา 03.00 น. ได้ยินเสียงบ้านของ นางพิมพ์ผกา พร้อมกับบ้านอีกหลังที่อยู่ถัดไปลั่น จนเกิดเสียงดังสนั่น จากนั้นจึงได้เห็นเจ้าของบ้านหลังแรกทุบกระจกวิ่งหนีเอาตัวรอดออกมาจากตัวบ้าน ส่วนบ้านหลังที่อยู่ถัดไปได้เคลื่อนตัวสไลด์ตกลงไปยังในแม่น้ำบางปะกงแล้ว และบ้านหลังอื่นๆ เริ่มมีรอยแตกร้าวรวมทั้งหมด 4 หลังในขณะนั้น นางมาลี กล่าว
ด้าน นายชาตรี พุ่มพวง อายุ 57 ปี ผู้ใหญ่บ้าน ม.2 ต.แสนภูดาษ กล่าวว่า ขณะนี้มีราษฎรได้รับความเดือดร้อนจากดินริมตลิ่งแม่น้ำบางปะกงพังทลายรวม 4 ครอบครัว มีผู้อยู่อาศัยหลังละประมาณ 5-6 คน รวม 15 คน โดยหลังที่สไลด์ตกลงไปในแม่น้ำเป็นบ้านสร้างใหม่ ที่เจ้าของบ้านใช้สำหรับมาพักผ่อนเป็นบางครั้งคราวเท่านั้น โดยสร้างมาได้ประมาณ 5-6 ปีที่ผ่านมา จึงไม่มีคนอยู่อาศัย ผู้เป็นเจ้าของ คือ นายปทุม กวินจุลเกตุ เลขที่ 99 ม.2 ซึ่งปกติจะพักอาศัยอยู่ใน กทม. โดยขณะเกิดเหตุเป็นช่วงเวลาตีสามในสภาวะน้ำลง ตามระดับน้ำทะเล ซึ่งตัวบ้านค่อยๆ สไลด์ไหลเลื่อนลงไปในแม่น้ำตามกระแสน้ำที่ลดระดับลงต่ำอย่างช้าๆ นายชาตรี กล่าว
ส่วนด้าน นายรังสรรค์ มั่นคง กำนัน ต.แสนภูดาษ กล่าวว่า จากการตรวจสอบล่าสุดพบว่ามีบ้านที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดินสไลด์ จนทำให้ตลิ่งริมแม่น้ำบางปะกงพังทลายนั้นมีจำนวน 5 หลังคาเรือนโดยเป็นบ้านไม่มีเลขที่ 1 หลังคาเรือน ประกอบด้วยหลังแรก คือ บ้านของนางพิมพ์ผกา ศิลปายะ อายุ 56 ปี เลขที่ 73 ม.2 หลังที่ 2 คือ บ้านของนายปทุม กวินจุลเกตุ เลขที่ 99 ม.2 หลังที่ 3 คือ บ้านของนางพิศสมัย แก้วทรัพย์ เลขที่ 32 ม.2 และบ้านของนายวิชัย ดำรงวิชา เลขที่ 32/1 จำนวน 2 หลังไม่มีเลขที่ 1 หลัง
ส่วนบ้านเรือนราษฎรที่ยังคงมีความเสี่ยงที่จะสไลด์ตกลงไปในแม่น้ำอีกนั้น ยังคงมีอีกจำนวนหลายหลัง อย่างน้อยประมาณ 5-6 หลังที่อยู่ติดกับชายแม่น้ำเนื่องจากเป็นช่วงโค้งของทางน้ำไหล ซึ่งเมื่อก่อนหน้านี้ผู้ที่อยู่ติดกับแนวริมตลิ่งเลาะไปตามลำน้ำ ได้เคยทำแนวป้องกันตลิ่งไว้แล้ว แต่ก็ถูกน้ำกัดเซาะพังทลายหายลงไปในแม่น้ำจนเกือบหมด ขณะที่ทางวัดแสนภูดาษก็เช่นเดียวกัน ที่เคยทำแนวกัดเซาะมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็พังทลายลงแม่น้ำไปจนหมด
จึงได้นำก้อนหินขนาดใหญ่มาลงทำเป็นแนวเขื่อนป้องกันไว้ และสามารถคงทนการกัดเซาะอยู่ได้ จึงทำให้บริเวณหน้าวัดไม่เกิดการพังทลาย แต่ได้ทำให้น้ำไหลแรงและเปลี่ยนทิศทางมายังบริเวณจุดที่ถูกกัดเซาะนี้ รวมถึงพื้นที่ใกล้เคียง จากในอดีตที่ผ่านมาผืนดินในบริเวณนี้ได้เคยตกน้ำหายไปจำนวนหลายไร่แล้ว นายรังสรรค์ กล่าว
ขณะที่นายชาตรี ผู้ใหญ่บ้านยังกล่าวเสริมกำนันอีกว่า บริเวณริมแม่น้ำมีการสร้างเขื่อนป้องกันน้ำกัดเซาะหลายจุด แต่บริเวณนี้ไม่มีแนวเขื่อนป้องกันจึงถูกน้ำกัดเซาะกินลึกเข้ามาเพียงจุดเดียว ที่มีสภาพเป็นคุ้งน้ำส่วนโค้งด้านนอก ซึ่งเป็นจุดที่น้ำหมุนวนม้วนตัว สาเหตุจึงเกิดจากพื้นที่โดยรอบข้างสร้างแนวเขื่อนป้องกันตลิ่งพัง แต่บริเวณหมู่บ้านจุดนี้ไม่ได้ทำ จึงเกิดปัญหาการกัดเซาะขึ้น เพราะกระะแสมวลของน้ำได้ม้วนแทงแนวใต้ตลิ่งลงไปยังด้านล่างที่ใต้น้ำจนเกิดการพังทลายลงไป นายชาตรี ระบุ
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: