อธิบดีกรมอนามัย เผยหาก ปท.ไม่เร่งเพิ่มประชากร อีก 60 ปี มีคนแก่มากกว่าคนหนุ่มสาว
แพทย์หญิง(พญ.)อัจฉรา นิธิอภิญญาสกุล อธิบดีกรมอนามัย กล่าวบรรยายที่ จ. เพชรบูรณ์เมื่อวันที่ 5 ม.ค.66 ที่ผ่านมา ขณะร่วมประชุมมอบนโยบายและเสริมสร้างกำลังใจให้กับบุคลากรและภาคีเครือข่ายในการขับเคลื่อน ดำเนินการตามนโยบายของรัฐ เพื่อสานสัมพันธ์ความร่วมมือของทุกภาคส่วนในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ถึงสาเหตุที่ประเทศต้องเร่งส่งเสริมการมีบุตรว่า ในปี 2565 คนที่ตายในประเทศไทยมี 5 แสนกว่าคน แต่เด็กที่เกิดใหม่มึ 4.8 แสนกว่าคน เป็นปีแรกของประเทศไทยหากนับย้อนหลังไป 60 ปีจะพบว่าการเกิดน้อยไป และจากนี้ไปอีก 60 ปีหากประเทศไทยไม่ทำอะไรเลย ไม่มีการส่งเสริมสนับสนุนหรือให้ข้อมูลแก่ประชาชน ใน 60 ปีข้างหน้าประชากรจะลดจาก 65 ล้านคนเหลือ 63 ล้านคน คนแก่ 18 ล้าน คนทำงาน 14 ล้าน เด็กเกิดใหม่ 1 ล้าน นั่นหมายความว่าคนทำงานที่จะต้องดูแลคนแก่มีน้อยกว่าจำนวนคนแก่
โดย พญ.อัจฉรายกตัวอย่างเปรียบเทียบว่า สมมุติว่าท่านจะเดินทางไปขึ้นเครื่องบินในต่างจังหวัด ไม่มีคนขับเครื่องบิน ไม่มีแอร์โฮสเตส ไม่มีกราวด์ เพราะคนทำงานไม่เหลือแล้ว จะใช้โรบอทหุ่นยนต์ เทคโนโลยอาจช่วยได้ แต่คนที่ป่วยอยู่ในโรงพยายาลและเป็นคนแก่ ไม่มีแพทย์ พยาบาลเพราะแก่หมด เรียนไม่ทัน คนแก่ต้องดูแลกันเอง เพราะไม่มีวัยแรงงาน ประเด็นถัดไปใครจะเป็นจ่ายภาษีให้แก่ประเทศไทย หลังจากนี้กระทรวงต้องมาช่วยกันคิด ข้อมูลตัวเลขนี้จะต้องให้ประชาชนรับทราบ เพื่อจะมีสิทธิ์ตัดสินใจว่าจะช่วยมีบุตรหรือไม่มีบุตร อันนั้นเป็นสิทธิของทุกคน
พญ.อัจฉรากล่าวว่า แต่ 63 ล้านคนนี้หากเอาต่างด้าวเข้ามา เพื่อจะเป็นแรงงานก็จะอีกประเด็น ประเทศสิงคโปร์ไม่ผลิตและส่งเสริมการมีลูกแล้ว เพราะทำแล้วล้มเหลวมา 10 ปี คนสิงคโปร์ไม่นิยมมีลูกแล้ว เขาเอาเข้าแรงงานความมาเป็นสิงคโปร์เลี่ยน แต่คนสวีเดนต้องการคนเชื้อชาติสวีเดน มีการช่วยกันรัฐบาลส่งเสริมให้เบบี้โบนัสให้หยุดงานได้และให้เงินเดือนขณะหยุดงาน คนสวีเดนมีลูกเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวภายในเวลา 10 ปีถัดมา เพราะเขาต้องการมีเชื้อชาติสวีเดนอยู่ในประเทศ ตรงนี้ประเทศไทยเลือกได้
“จากสำรวจเหตุผลสำคัญการที่คนไม่มีลูกนั้นเหตุผลไม่ใช่เรื่องสาธารณสุขเป็นสำคัญ เขาบอกว่าไม่มีค่าใช้จ่าย ยังไม่ถึงที่วางแผนไว้ และที่สำคัญไปกว่านั้นเขาคิดว่า ประเทศนี้รัฐบาลจะช่วยอะไรเขาได้ เรื่องของกระทรวงสธ.ที่จะเกี่ยวข้องมีไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ ที่บอกว่าเขาต้องการมีลูกแต่เขาไม่มี แต่ทำไมกระทรวง สธ.ต้องเป็นผู้นำ เพราะ 10 เปอร์เซ็นต์ กระทรวง สธ.จะทำให้ดีที่สุด เพื่อเพิ่มการมีบุตรให้มีคุณภาพให้แก่ประเทศไทย”อธิบดีกรมอนามัยกล่าว
จากนั้นอธิบดีกรมอนามัยโชว์กราฟแสดงข้อมูลพร้อมระบุว่า คนที่ไม่มีบุตร ไม่มีคู่(โสดแบบไม่ตั้งใจ) คือ เวิร์ดฟอร์มโฮมทำงานที่บ้าน ไม่อยากเจอใคร, ไม่อยากมีลูกเพราะว่าสวัสดิการไม่โอเค, มีลูกยากตรงนี้กระทรวง สธ.ช่วยได้ เป็นเรื่องของ กระทรวง สธ.ล้วนๆ สุดท้ายอยากมีแต่มีไม่ได้ เพราะเขาเป็นเพศทางเลือก เป็นผู้หญิงกับผู้หญิง ผู้ชายกับผู้ชาย แต่เขาอยากมีลูก แต่เรามี พ.ร.บ.อุ้มบุญที่ยังมีขีดจำกัดอยู่ ดังนั้นกฎหมายจึงเข้ามาเกี่ยวข้องถ้าเราจะเพิ่มจำนวนประชากร มีคู่หญิงหญิงชายๆอยากมีลูก ต้องไปมีลูกต่างประเทศ เพราะเขามีกฎหมายเปิดช่องให้
“ส่วนทามไลน์นั้นมีการนำเสนอเข้า ครม.แล้ว โดยจะขอให้นายกรัฐมนตรีเป็นประธานคุยกันเรื่องการส่งเสริมการมีบุตรคุณภาพ เพื่อการพัฒนาประเทศและต้นทุนมนุษย์ ซึ่งไม่ใช่แค่การส่งเสริมการมีบุตร แต่เป็นความมั่นคงของประเทศด้วย”พญ.อัจฉรากล่าว
พญ.อัจฉรากล่าวว่า ตอนนี้ทุกโรงพยาบาลในกระทรวงสาธารณสุขมุ่งมั่นที่จะทำคลินิกการมีบุตรยาก ซึ่งเราทำได้สำเร็จโดยเฉพาะเขตสุขภาพที่ 2 ที่เคยมีรองปลัดฯเป็นผู้ตรวจทำได้ดีมาก โดย จ.เพชรบูรณ์และจังหวัดข้างเคียง ข้อมูล ณ ขณะนี้ทำได้ 100 เปอร์เซ็นต์แล้ว ทุกคนมีคลีนิกส่งเสริมการมีบุตร โดยเฉพาะ จ.เพชรบูรณ์เป็นต้นแบบมีคลีนิกไอยูไอ จะฉีดเสปิมเข้าไปในโพรงมดลูกของผู้หญิงแล้วทำให้เขามีบุตร แต่ตอนนี้ เรื่องเด็กหลอดแก้วยังมีแค่ 2 แห่งในกระทรวงฯ ได้แก่ โรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมาและโรงพยาบาลหาดใหญ่เท่านั้น ส่วนโรงพยาบาลเอกชนมีเยอะ
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: