“พ.อ.พงษ์เพชร”จับรถแบ็กโฮขุดดินในพื้นที่ป่าภูทับเบิก พบเป็นเครื่องจักรเดียวชุดกับที่ปรับที่ดินโรงเตี้ยมเดิม
วันที่ 30 พ.ค. 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 14.00 น. พ.อ.พงษ์เพชร เกษสุภะ หัวหน้าชุดปฎิบัติการ ศปป.4 กอ.รมน. นำคณะเจ้าหน้าที่ป่าไม้ชุดพยัคฆ์ไพร และป่าไม้หน่วยป้องกันรักษาที่ พ.ช.11 (น้ำชุน) เข้าทำการตรวจยึดรถแบ็กโฮบนภูทับเบิก หมู่ 14 ต.วังบาล อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ หลังจากสืบทราบมาว่า รถแบ็กโฮคันดังกล่าวกำลังรับจ้างขุดดิน เพื่อจะนำไปถมพื้นที่ นอกจากนี้รถแบ็กโฮคันดังกล่าวยังเป็นคันเดียวกับรถแบ็กโฮที่ปรับพื้นที่บริเวณที่ดินที่ตั้งโรงเตี้ยมเดิม ซึ่งศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว โดยคณะเจ้าหน้าที่เข้าตรวจยึดจับกุมกรณีมีการบุกรุกที่ดินดังกล่าวเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา
โดยระหว่างพ.อ.พงษ์เพชรเข้าทำการตรวจยึดนั้น ปรากฎว่ารถแบ็กโฮคันกล่าวอยู่ระหว่างจอดหยุดพักการขุดดิน ส่วนบริเวณพื้นที่ที่ถูกขุดดินนั้นเดิมเป็นเนินดินไหล่เขา แต่มีร่องรอยถูกเครื่องจักรขุดดินออกลึกประมาณ 3 – 5 เมตร จนทำให้สภาพแปรเปลี่ยนไป
ข่าวน่าสนใจ:
อย่างไรก็ตามหลังจาก พ.อ.พงษ์เพชรได้โทรศัพท์ติดต่อไปยังเจ้าของรถแบ็กโฮซึ่งเป็นชาวม้งในพื้นที่ โดยมีการยอมรับว่าเป็นเจ้าของรถแบ็กโฮดังกล่าวจริง และที่ดินบริเวณพื้นที่ขุดดินดังกล่าว ตนทำกินมาตั้งแต่เกิดแต่ไม่มีเอกสารสิทธิใด ๆ นอกจากนี้ยังยอมรับเป็นรถแบ็กโฮคันเดียวกับที่ไปปรับพื้นที่บนที่ดินที่ตั้งโรงเตี้ยมเดิมก่อนที่คณะเจ้าหน้าที่จะเข้าจับกุมด้วย
ต่อมาพ.อ.พงษ์เพชรยังได้ประสานไปยังเจ้าหน้าที่ พม.จังหวัดในพื้นที่ เพื่อทำการตรวจสอบพิกัดบริเวณที่ขุดดินว่าใครเป็นบุคคลที่รับการจัดสรรให้ครอบครองที่ดินบริเวณดังกล่าว แต่ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ พม.ว่ายังไม่มีการจัดสรรที่ดินบริเวณนี้ให้กับใคร ซึ่งยังคงเป็นสภาพพื้นที่ป่าตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484
ทาง พ.อ.พงษ์เพชรฯ พร้อมเจ้าหน้าที่ป่าไม้ จึงจับค่าพิกัดพื้นที่บุกรุก จัดทำบันทึกการตรวจยึดพื้นที่บุกรุก จำนวน 1 – 1 – 23 ไร่ และตรวจยึดรถแบ็กโฮ 1 คัน พร้อมมอบให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้จากหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ พ.ช.11 (น้ำชุน) เข้าของพื้นที่เข้าแจ้งความกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน สภ.หล่มเก่า เพื่อให้ติดตามตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีต่อไป
ในขณะที่ พ.อ.พงษ์เพชร กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ได้พยายามประสานทางฝ่ายปกครอง อ.หล่มเก่าให้เข้าร่วมตรวจสอบ แต่ปรากฎว่า ถูกปฏิเสธอ้างว่าติดภารกิจอยู่นอกพื้นที่ และไม่มีใครสามารถมาร่วมตรวจยึดกับเจ้าหน้าที่ได้ นอกจากนี้หลังการตรวจยึดปรากฏว่าได้รับแจ้งว่ามีผู้นำในชุมชนจะนำมวลชนชาวม้ง ประมาณ 200 คน เข้าปิดล้อมคณะเจ้าหน้าที่ โดยกล่าวหาทางเจ้าหน้าที่ว่ารังแกชาวม้ง ทำให้ตนต้องนำคณะเจ้าหน้าที่ออกจากพื้นที่ เนื่องจากเกรงจะทำให้เหตุการณ์บานปลาย จนอาจเกิดความรุนแรงขึ้น โดยจำเป็นทิ้งของกลางไว้ในพื้นที่ที่เกิดเหตุ
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: