เพชรบูรณ์-รองอธิบดีกรมป่าไม้ย้ำ!แก้ที่ดินเขาค้อ ต้องเริ่มจากการบังคับกฎหมายก่อน ความยุติธรรมจึงบังเกิด
วันที่ 10 มีนาคม นายอรรถพล เจริญชันษา รองอธิบดีกรมป่าไม้ กล่าวถึงแนวทางการการตรวจสอบการใช้ประโยชน์ที่ดินทั้งในและนอกแปลงราษฎรอาสาสมัคร(รอส.)เขาค้อ ที่กองทัพภาคที่ 3 ขอใช้ประโยชน์จากกรมป่าไม้ เนื้อที่ราว 1.2 แสนไร่ หลังพนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้องคดีและล่าสุดมีการเตรียมรื้อฟื้นคดีว่า ในการประชุมเมื่อวันที่ 8 มีนาคมที่อ.เขาค้อ ทำให้เกิดความชัดเจนถึงความร่วมมือระหว่างฝ่ายบังคับใช้กฎหมายและกระบวนยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นในชั้นพนักงานสอบสวน,พนักงานอัยการ ซึ่งตรงไหนที่มีจุดอ่อนในคดีที่จะรื้อฟื้นในการดำเนินคดีใหม่ได้ ก็มีการพูดคุยกันชัดเจนขึ้นระหว่างทีมสอบสวนของฝ่ายตำรวจและฝ่ายทหารรวมทั้งฝ่ายป่าไม้
นายอรรถพลกล่าวว่า ส่วนข้อปัญหาความชัดเจนฝ่ายไหนเป็นเจ้าของพื้นที่หลังมีการโต้แย้งกันไปมาระหว่างทหารและป่าไม้ ตรงนี้ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าพื้นที่ตรงนี้อยู่ในความรับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 3 เพียงแต่มีการทำงานร่วมกันก่อนที่จะมีการส่งมอบกันอย่างเป็นทางการโดยจะมีการแก้ไขร่วมกันก่อน เพราะหากไม่ช่วยกันแก้ปัญหาก็คาราคาซังอยู่แบบนี้ และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือกระบวนบังคับใช้กฎหมาย แนวทางเรื่องของการแก้ไขปัญหาการใช้ประโยชน์ที่ดิน ไม่อยากให้มีการใช้อำนาจหน้าที่ไปมีผลต่อทางคดี เพราะฉะนั้นตรงไหนที่คดียังไม่สมบูรณ์ก็ต้องมาช่วยกันดู
รองอธิบดีกรมป่าไม้ กล่าวว่า จุดเริ่มต้นของการแก้ไขปัญหาที่ดินต้องเริ่มจากการบังคับใช้กฎหมาย เพราะหากไม่มีการบังคับกฎหมายมาตรฐานก็ไม่เกิดและความยุติธรรมก็ไม่บังเกิดเช่นกัน เพราะการเข้าไปครอบครองที่ดินมีความผิดแตกต่างกัน จะผิดมากผิดน้อยและยังมีเงื่อนไขในห้วงเวลาของการเข้าไปครอบครอง การบุกรุกการเปลี่ยนมือที่แตกต่างกัน เพราะฉะนั้นความยุติธรรมก็คือการบังคับใช้กฎหมาย แต่หลังการบังคับใช้กฎหมายเราจะมาแก้ไขปัญหาร่วมกัน อันนี้คืออีกขบวนการหนึ่งที่จะต้องมาช่วยกันคิด
“ส่วนปัญหาที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันในสังคมโซเชียกันมาก อาจเป็นเรื่องสำนวนคดีและความคิดเห็นของเจ้าพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการ ก็มีการพูดคุยกันแล้วและดูแล้วมี 4 แนวทางที่จะได้ข้อยุติแล้ว โดยเชื่อว่าข้อสรุปที่ออกมาจะเป็นไปตามกฎหมาย และยังเชื่อว่าการบังคับใช้กฎหมายจะทำให้ผู้ที่กระทำผิดถูกลงโทษจริงๆ”นายอรรถพลกล่าว
นายอรรถพลยังตอบข้อถามถึงแนวทางเอาผิด 332 รีสอร์ทในแปลงรอส.ว่า ขอใช้คำว่าบังคับใช้กฎหมายมากกว่า เพราะเงื่อนไขบางรายอาจจะไม่มีความผิดก็ได้ ส่วนคดีที่พนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้องนั้นจริงๆแล้วขบวนการยังไม่เสร็จสิ้น เพราะจะไปสู่การพิจารณาในของตำรวจภูธรภาค 6 หากมีความเห็นแย้งก็จะไปสู่การพิจารณาในชั้นอัยการสูงสุด ซึ่งตรงนี้ได้มีการพูดคุยกันแล้วจะมีการรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม และการนำระเบียบ,ข้อบังคับ,ข้อกำหนดเป็นข้อมูลเสริม รวมทั้งการเข้าไปแสวงหาข้อเท็จจริง โดยมีชุดพยัคฆ์ไพรร่วมกับทีม ศปป.4 และจะมีการรวบรวมเสนอพิจารณาจะฟ้องหรือไม่
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: