อุบลราชธานี – อัจฉริยะ บุกตามคดี ผอ.รพ.สต.โหดประมาทฉีดยาเด็ก 3 ขวบดับปัดความรับผิดชอบ
นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ลงพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ตามคดีคดี ผอ.รพ.สต.โหดประมาทฉีดยาเด็ก 3 ขวบ เสียชีวิต ตั้งแต่ปี 2555 ล่าสุดญาติยังไม่ได้รับความเป็นธรรม แถมถูกฟ้องกลับอ้างให้การเท็จ ศาลยุติธรรมให้ความเมตตายกฟ้อง 3 ศาลรวด
ที่สำนักงานอัยการศาลจังหวัดเดชอุดม นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เข้าพบนายสุกฤษ เดชะทัดตานนท์ อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อติดตามความคืบหน้า กรณี นายปองพล วงษาชัย ชาว อ.บุณฑริก จ.อุบลราชธานี ซึ่งเป็นตาของเด็กหญิงศิริธาดา ประทีป หรือ น้องหมวย อายุ 3 ขวบ ไปทำการรักษาตัวที่คลีนิคเอกชนแห่งหนึ่งในอำเภอบุณฑริก โดยมีผู้ที่รักษามีตำแหน่งเป็น ผอ.รพ.สต.ในพื้นที่ฉีดยาให้จนน้องหมวยเสียชีวิต จนถึงปัจจุบันคดียังไม่คืบหน้าเข้าและยังไม่เข้าสู่กระบวนการของศาล แถมถูกคู่กรณีฟ้องกลับจนต้องสู้คดี ถึงศาลฏีกา ยกฟ้องรวมระยะเวลา 9 ปี
สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2555 นายปองพล และ นางทองบาง วงษาชัย ภรรยา ได้พาหลานไปรักษาอาการไข้ ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแห่งหนึ่ง โดยมี ผู้อำนวยการของโรงพยาบาล มาแนะนำให้พาหลานไปรอรับการรักษาที่ คลินิกเอกชน ที่ภรรยา ผอ.คนดังกล่าว เป็นผู้รับใบอนุญาตจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ก่อนที่ ผอ. จะตามมาตรวจ พร้อมทั้งแจ้งว่า หลานป่วยลำไส้อักเสบต้องฉีดยา 1 เข็ม ก่อนอนุญาตให้กลับบ้านได้
นายปองพล เผยต่อว่า ระหว่างทาง หลานมีอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก น้ำลายฟูมปาก ฉี่ราด คอพับ หมดสติ ตนจึงได้ขี่รถจักรยานยนต์ พาหลานกลับมาที่คลินิกภรรยาของ ผอ.คนดังกล่าวอีกครั้ง โดยหลานอยู่ในอาการหมดสติ ก่อนจะนำส่งโรงพยาบาลบุณฑริก และเสียชีวิตก่อนที่จะถึงโรงพยาบาล ก่อนที่ ผอ. คนดังกล่าว จะนำร่างของหลานสาวมาส่งที่บ้าน โดยไม่มีการสอบถาม หรือเยียวยาครอบครัวแต่อย่างใด
เพื่อความเป็นธรรม จึงได้เข้าร้องขอความเป็นธรรมต่อ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุบลราชธานี (สสจ.อุบลฯ) ให้ตรวจสอบการรักษา ว่าถูกต้องตามกระบวนการขั้นตอนหรือไม่ ทั้งนี้ ทาง สสจ.อุบลฯ ได้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง
จนพบว่า ผอ.คนดังกล่าว เป็นผู้บริหารสถานีอนามัย ไม่มีสิทธิ อำนาจหน้าที่ในการรักษาคนไข้ แต่กลับฉีดยาให้กับคนไข้ จนเป็นเหตุให้คนไข้เสียชีวิตในเวลาต่อมา จากนั้น นายเสริม ไชยณรงค์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ในสมัยนั้น ได้มีคำสั่งจังหวัดอุบลราชธานี ที่ 4222/2557 ลงโทษ ผอ. คนดังกล่าว โดยให้ปลดออกจากราชการ เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2557
ต่อมา ผอ.คนดังกล่าว ได้ยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดเดชอุดม เพื่อดำเนินคดีต่อตนและภรรยา ในข้อหา “เบิกความเท็จต่อเจ้าพนักงาน แจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จ” ซึ่งศาลจังหวัดเดชอุดม ได้พิจารณาพยานหลักฐาน ยกฟ้องปี 2562 ที่ผ่านมา แต่คดีอาญาที่ตนเป็นผู้เสียหายนั้น ถูกส่งต่อไปยังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ดำเนินการสืบสวน สอบสวนข้อเท็จจริง เนื่องจากผู้ถูกกล่าวหาเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ
นายปองพล กล่าวด้วยว่า คดีที่ตนเองเป็นผู้เสียหายขณะนี้ ตนเองยังไม่ทราบว่าจะต้องรอไปอีกนานเท่าไหร่ ไม่มีใครแจ้งความคืบหน้าให้ทราบเลย แต่คดีที่ผอ. ฟ้องตนและภรรยา กลับถูกดำเนินคดี จนศาลท่านพิพากษายกฟ้องแล้ว จากเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ส่งผลกระทบต่อครอบครัวเป็นอย่างมาก ทั้งการเดินทางที่ต้องไปศาล แจ้งความดำเนินการขอความเป็นธรรม ทุกอย่างต้องใช้เงินตนเองและครอบครัวก็ไม่มี จะดำเนินการใดๆ
ด้านนายอัจฉริยะ เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้รับการ้องเรียนว่าเมื่อปี 2555 ที่ผ่านมาได้มี ผอ.รพ.สต.แห่งหนึ่งในจังหวัดอุบลราชธานี ได้ฉีดยาให้หลานของตา ยาย และเสียชีวิตในเวลาต่อมา หลังจากที่เสียชีวิตแล้วได้มีการฟ้อง สองสามี ภรรยา ทั้งสองคนในฐานประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ไม่มีใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมปล่อยให้บุคลอื่นมาประกอบวิชาชีพเวชกรรม ซึ่งมีความผิดตาม พรบ.สถานพยาบาล
แต่ทางในทางกลับกัน ตา ยาย ต้องกลับตกเป็นจำเลยของ ผอ.รพ.สต.ฐานให้การเท็จจนถึงปี 2562 ที่ต้องต่อสู้ในฐานะจำเลย ขณะที่หลานของตัวเองยังไม่ได้รับความเป็นธรรมจึงได้ลงมาติตามคดี พบว่าในเบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจและพนักงานอัยการได้ทำสำนวนเป็น 2 สำนวน สำนวนแรกเป็นส่วนของ ผอ.รพ.สต.ที่ฉีดยา เรื่องนี้ถูกส่งให้ทางอัยการศาลทุจริตภาค 3 จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งยังไม่เห็นสำนวนแต่จากการตรวจสอบเนื่องต้นน่าจะครบองค์ประกอบความผิดชัดเจน ส่วนของภรรยาทางอัยการจังหวัดเดชอุดมเป้นผู้รับดำเนินการ ส่วนประเด็นการที่สำนวนล่าช้ามาจากการที่นำสำนวน ทั้ง 2 สำนวนมารวมกันทำให้เกิดการล่าช้า
เกียรติรัตน์ ชัยสกุลวงศ์ ข่าว
