อุบลราชธานี – จากกรณีนางอุลัย ทันวิมา มารดา ด.ช.จิรนัย หรือน้องเฟรม ทันเต อายุ 12 ปี นร.ชั้น ป.6 โรงเรียนบ้านแก้งเรือง หมู่ 15 ต.นาจะหลวย อ.นาจะหลวย จ.อุบลราชธานี พร้อมเพื่อนวัยเดียวกันเข้าไปในพื้นที่ใช้เก็บของกลางเป็นไม้พะยูง ยานพาหนะใช้ขนไม้ และเลื่อยยนต์ตัดไม้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ป่าไม้เก็บไว้บริเวณด่านป่าไม้อุทยานแห่งชาติภูจองนายอย บ้านแก้งเรือง ต.นาจะหลวย เมื่อกลางคืนวันที่ 19 ต่อเนื่องถึงวันที่ 20 ตุลาคม และถูกสายไฟที่เจ้าหน้าที่นำมาทำเป็นรั้วล้อมรอบบริเวณกองไม้พะยูงดูดจนเสียชีวิต
โดยหลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ป่าไม้อุทยานแห่งชาติภูจองนายอยสถานที่เกิดเหตุ ได้ติดต่อมอบเงินค่าเสียหายให้จำนวน 90,000 บาท แต่ครอบครัวไม่ยอมรับ เพราะมีจำนวนน้อย พร้อมมีข้อสงสัย ทำไมเจ้าหน้าที่ต้องล้อมรั้วไฟฟ้า แทนการใช้ยามดูแลของกลาง พร้อมสงสัยสภาพศพของบุตรชายอาจถูกทำร้ายก่อนถูกไฟดูดจนเสียชีวิต จึงได้ร้องเรียนขอความเป็นธรรมไปยังสื่อต่างๆ และมีการนำออกมาเผยแพร่นั้น
ต่อมาผู้สื่อข่าวได้เข้าสอบถามข้อเท็จจริงจากนางอุลัย ทันวิมา อายุ 38 ปี มารดา ด.ช.จิรนัย หรือน้องเฟรมที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์เล่าว่า ช่วงเกิดเหตุเป็นช่วงปิดเทอม และน้องเฟรมที่เป็นลูกคนที่ 2 จากลูกทั้งหมด 3 คน ได้ไปพักอาศัยอยู่กับน้าสาวที่เปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวอยู่อีกหมู่บ้าน โดยคืนวันเกิดเหตุบุตรชายพร้อมเพื่อนในหมู่บ้านที่วัยใกล้เคียงจำนวน 3 คน ได้ชักชวนกันขี่รถจักรยานยนต์ไปเที่ยวเล่น และมุดเข้าไปในรั้วที่เจ้าหน้าที่ใช้เก็บของกลาง เมื่อไปถึงรั้วชั้นที่ 2 พบว่ามีการปล่อยกระแสไฟฟ้าไว้รอบกองไม้พะยูงที่ยึดไว้เป็นของกลาง ทำให้ไฟดูดบุตรชาย และ ด.ช.เหลื่อม เพื่อนรุ่นพี่ที่ไปด้วยกันพยายามจะเข้าไปช่วย ก็ถูกไฟดูด และยามที่อยู่ด้านหน้าได้สาดไฟมาที่กองไม้พะยูง ด.ช.เหลื่อม ตกใจ จึงทิ้งลูกชายไว้ในที่เกิดเหตุ ก่อนวิ่งหลบหนีออกมา โดยไม่ได้แจ้งให้ใครทราบ
กระทั่งบ่ายวันรุ่งขึ้น จึงได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ป่าไม้ว่า บุตรชายถูกไฟดูดเสียชีวิตอยู่ข้างกองไม้พะยูงในพื้นที่เก็บของกลาง เบื้องต้นแพทย์โรงพยาบาลประจำอำเภอได้ไปชันสูตรศพระบุสาเหตุการเสียชีวิตของน้องเฟรมเกิดจากถูกไฟฟ้าดูด และนางอุลัยไม่ได้ให้แพทย์ผ่าพิสูจน์ศพ แต่ได้รับศพบุตรชายกลับมาตั้งบำเพ็ญกุศลที่บ้านเกิดในวันเดียวกัน กระทั่งถึงวันฌาปนกิจศพ เมื่อเปิดโลงออกดูเห็นตามใบหน้าของลูกชายมีร่องรอยเหมือนถูกทำร้ายก่อนเสียชีวิต จึงทำให้เกิดข้อสงสัยขึ้นดังกล่าว
ข่าวน่าสนใจ:
- สงขลา รวบ 2 พ่อลูกตามหมายจับ สุดซ่าส์เคยชกปาก ตร.ชุดจับกุม ซ้ำ"ขู่สื่อฯ ระวังตัวให้ดี"
- เดือดกลางวอล์กกิ้ง ปมขัดแย้งร้านบีบีกัน ควงมีด ควงปืน หมายเปิดศึก พลเมืองดีห้ามวุ่น หวั่นนทท.ถูกลูกหลง
- ขอนแก่นเข้มต่อเนื่อง!!เปิดปฏิบัติการกวาดล้างยาเสพติด รวบคู่รักนักค้ายา หลังฝ่ายชายเพิ่งพ้นโทษจากเรือนจำ
- ตรัง ชาวบ้านสืบสานอนุรักษ์การปลูกข้าวไร่ไว้กินเองครอบครัวเหลือขาย
นางอุลัยเล่าต่อว่า ระหว่างการตั้งบำเพ็ญกุศลศพลูกชาย มีเจ้าหน้าที่ป่าไม้ของอุทยานแห่งชาติภูจองนายอยเข้ามาเจรจา ขอจ่ายเงินช่วยเหลือจำนวน 90,000 บาท แต่ทางครอบครัวเห็นว่าน้อยเกินไป จึงไม่รับและได้เข้าแจ้งความให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายในวันที่ 25 ต.ค. ซึ่งในวันนั้น เจ้าหน้าที่ได้มอบเงินสดให้จำนวน 30,000 บาท โดยบอกเป็นค่าช่วยทำศพไม่เกี่ยวข้องกับค่าเสียหาย ซึ่งตนก็ได้รับไว้ จนถึงปัจจุบันเรื่องคดีลูกชายของตนที่เสียชีวิตจากไฟดูดยังไม่มีความคืบหน้า
รวมทั้งยังถูกเจ้าหน้าที่ป่าไม้แจ้งความกลับที่ลูกชายและเพื่อนเข้าไปในพื้นที่เก็บของกลาง ข้อหาร่วมกันบุกรุก และร่วมกันพยายามลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยทำลายสิ่งกีดกั้นใช้คุ้มครองทรัพย์สิน จึงมาร้องขอความเป็นธรรมผ่านเพจเฟสบุ๊คต่างๆ ด้านนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 อุบลราชธานี กล่าวถึงเหตุการณ์ว่า พื้นที่ดังกล่าวปกติจะมีชุดลาดตระเวนประจำการอยู่ แต่หากชุดลาดตระเวนต้องออกไปเดินป่าป้องกันการลักลอบการทำผิดกฎหมาย จะเหลือเจ้าหน้าที่ทำหน้าที่ยามเพียง 2 คน ซึ่งเกินกำลัง เนื่องจากมีไม้ของกลาง รวมทั้งยานพาหนะ และอุปกรณ์อื่นที่ตรวจยึดไว้จำนวนมาก จึงต้องมีการปล่อยกระแสไฟฟ้าช่วยป้องกันในช่วงกลางคืน
โดยจุดที่ปล่อยกระแสไฟฟ้าก็เป็นรั้วชั้นใน มีป้ายติดประกาศเตือนมองเห็นชัดเจน รวมทั้งมีการประกาศแจ้งชาวบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่ก็รู้ว่าเป็นเขตหวงห้ามไม่ให้เข้าไป เพราะก่อนหน้านี้ มีไม้รวมทั้งเครื่องยนต์ต่างๆถูกคนร้ายแอบเข้าไปขโมย โดยมีการตัดกระแสไฟฟ้า เนื่องจากมีการติดตั้งเซฟทีคัท หากมีสัตว์หรือคนไปถูกรั้วดังกล่าวถูกไฟดูด ไฟก็จะตัดไม่ให้ถึงตาย
แต่ในวันเกิดเหตุมีฝนตก และยามที่อยู่ด้วยกัน 2 คน ได้ยินเสียงสุนัขเห่าดังมาจากด้านหลังของรั้ว แต่ไม่ได้ออกไปดู กระทั่งสายวันรุ่งขึ้น จึงไปพบมีเด็กถูกไฟดูดจนเสียชีวิต จึงแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและแพทย์เข้ามาร่วมชันสูตรพลิกศพในวันเดียวกัน เมื่อเกิดเหตุขึ้น แม้ตนเพิ่งเดินทางมารับตำแหน่งได้ไม่กี่วัน ก็ได้มีการเรียกประชุมหัวหน้าหน่วย เพื่อหาทางช่วยเหลือ เนื่องจากต้องการอยู่ร่วมกับชาวบ้านโดยไม่มีความขัดแย้ง เบื้องต้นตกลงจะช่วยกันลงขันหาเงินช่วยเหลือตามหลักมนุษยธรรมจำนวน 100,000 บาท
แต่ครอบครัวของผู้ตายเรียกร้องเงินมากถึงล้านกว่าบาท จึงทำอะไรไม่ได้ ส่วนหัวหน้าชุดอุทยานแห่งชาติภูจองนายอยที่เกิดเหตุ ก็ได้ไปกู้เงินสหกรณ์มามอบให้ครอบครัวเป็นการช่วยเหลือค่าทำศพเบื้องต้นไปจำนวน 30,000 บาท ที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมที่ต้องพิสูจน์ความจริงที่เกิดขึ้น เพราะพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาเจ้าหน้าที่ที่เป็นยามทั้ง 2 คน ของชุดพิทักษ์ป่าอุทยานภูจองนายอย 6 แก้งเรือง ซึ่งอยู่ดูแลสถานที่ในวันเกิดเหตุแล้ว
ด้าน พ.ต.อ.เศวก โพนทัน ผกก.สภ.นาจะหลวย กล่าวว่า หลังรับแจ้งวันเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ เพื่อเก็บหลักฐานใช้ดำเนินคดีตามระเบียบ กระทั่งหลังเสร็จงานศพ ครอบครัวได้เข้าแจ้งความในวันที่ 25 ต.ค. และพนักงานสอบสวนได้เรียกตัวเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่ทำหน้าที่ยามในคืนวันเกิดเหตุ 2 คน เข้ามารับทราบข้อหาไม่ได้เจตนาฆ่า แต่ทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย พร้อมรวบรวมหลักฐาน เพื่อส่งฟ้องต่อพนักงานอัยการภายใน 60 วัน
ขณะเดียวกันนายสมบัติ สิงห์สาวแห หัวหน้าหน่วยพิทักษ์อุทยานภูจองนายอย 6 แก้งเรือง ได้เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับ ด.ช.จิรนัย หรือน้องเฟรม และเพื่อนข้อหาร่วมกันบุกรุก และร่วมกันพยายามลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยทำลายสิ่งกีดกั้นใช้คุ้มครองทรัพย์สิน ซึ่งพนักงานสอบสวนก็ได้รับแจ้งไว้ตามหน้าที่ ซึ่งก็จะสรุปสำนวนส่งฟ้องต่ออัยการ โดยทำตามขั้นตอนของกฎหมายและพยานหลักฐานที่ปรากฏ ไม่ได้นิ่งเฉย หรือปล่อยปละละเลยตามที่ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด
ข่าวโดย : เกียรติรัตน์ ชัยสกุลวงศ์
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: