อุบลราชธานี – หนุ่มใหญ่ชาวอุบลฯ ร้องตำรวจเอายังไง ถูกหาว่าขับรถชนคนตาย แต่ผ่านมา 2 ปียังส่งฟ้องไม่ได้
หนุ่มใหญ่ชาวจังหวัดอุบลราชธานี ร้องเรียนสื่อมวลชนได้รับความเดือดร้อน เพราะถูกจับข้อหาขับรถชนคนตายเมื่อ 14 ปีก่อน ที่จังหวัดระยอง ทั้งที่เจ้าตัวขับรถยนต์ไม่เป็น หลังถูกจับตัวเมื่อปี 2560 ต้องเดินทางไปรายงานตัวกับพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการมาร่วม 2 ปี ทำให้เดือดร้อนต้องขายที่ดินเป็นค่าใช้จ่าย วอนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด กระทรวงยุติธรรมช่วยดูเรื่องคดีให้ด้วย
เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 20 ม.ค. นายอุทัย ศรีมา อายุ 53 ปี ชาวบ้านดงยาง หมู่ 12 ต.ก่อเอ้ อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี ร้องเรียนพร้อมเล่าถึงความทุกข์ยากของชีวิต หลังตกเป็นผู้ต้องหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ทำให้ทรัพย์สินได้รับความเสียหาย และหลบหนีโดยไม่หยุดให้การช่วยเหลือหรือแจ้งพนักงานทราบในทันที เมื่อวันที่ 16 มิ.ย.2548
และในปีเดียวกันพนักงานสอบสวน สภ.บ้านค่าย จ.ระยอง ได้มีหมายเรียกตัวมาที่บ้านที่อำเภอเขื่องใน ญาติที่อำเภอเขื่องใน จึงแจ้งให้นายอุทัยทราบ ว่าในวันดังกล่าวนายอุทัยได้ขับรถใช้ในการทำเกษตร (รถอีแต๋น) ไม่ทราบยี่ห้อและทะเบียนไปเฉี่ยวชนกับรถจักรยานยนต์ของนายสมยศ พัทธเสมา ทำให้นายสมยศถึงแก่ความตาย ส่วน น.ส.แพรวพรรณ บุญมาก ผู้โดยสารได้รับบาดเจ็บบริเวณเลียบคลองชลประทาน บ้านหนองละลอก ต.หนองละลอก อ.บ้านค่าย จ.ระยอง
หลังเกิดเหตุนายอุทัยได้หลบหนีไป จึงออกหมายเรียกให้มาพบพนักงานสอบสวน หลังทราบเรื่องในปี 2548 ซึ่งขณะนั้นและในวันเกิดเหตุนายอุทัย ทำงานเป็นคนงานก่อสร้างที่เขตมีนบุรี กรุงเทพฯ โดยมีนายจ้างและเพื่อนคนงานเป็นพยานให้ และได้ประสานแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมีนบุรี รวมทั้งพี่สาวติดต่อสอบถามไปยังพนักงานสอบสวน สภ.บ้านค่าย จ.ระยอง ที่ออกหมายเรียกตัว
ก็ได้รับแจ้งว่า อาจออกหมายเรียกผิดตัว เพราะมีคนชื่ออุทัย ศรีมา ทั่วประเทศถึง 4 คน และ 1 ใน 4 มีภูมิลำเนาอยู่ในภาคตะวันออกด้วย ซึ่งพนักงานสอบสวนจะทำการแก้ไขให้ ทำให้นายอุทัย ชาวจังหวัดอุบลราชธานี รู้สึกโล่งอกไม่ต้องตกเป็นผู้ต้องหาในคดีดังกล่าว
กระทั่งต่อมาเมื่อวันที่ 10 เม.ย.2560 ซึ่งขณะนั้น นายอุทัยที่มีอายุมาก ได้กลับมาพักอาศัยอยู่ที่บ้านที่อำเภอเขื่องใน ก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี มาพบที่บ้านพร้อมแสดงหมายจับนายอุทัยในคดีดังกล่าว และส่งตัวนายอุทัยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ้านค่าย จ.ระยอง รับตัวไปดำเนิน โดยพนักงานสอบสวนขณะนั้น คือ ร.ต.ท.อภิชัย ไลออน ได้แจ้งข้อกล่าวหา ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ทำให้ทรัพย์สินได้รับความเสียหาย หลบหนีไปไม่หยุดให้การช่วยเหลือ หรือแจ้งเหตุกับเจ้าหน้าที่ทราบ
ซึ่งนายอุทัยได้ให้การยืนยันว่า ไม่เคยเดินทางไปจังหวัดระยองมาก่อนในชีวิต และครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้เดินทางมา และขณะเกิดเหตุก็ทำงานเป็นคนงานก่อสร้างอยู่ที่เขตมีนบุรี กรุงเทพฯ พร้อมทั้งขับรถยนต์ไม่เป็น โดยมีนายอดีตนายจ้างและเพื่อนคนงานเป็นพยานยืนยันได้ จึงให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา พร้อมนำหลักทรัพย์เป็นที่ดินที่เช่ามาจากเพื่อนบ้านใช้วางประกันตัวในวงเงิน 120,000 บาท
ซึ่งพนักงานสอบสวนก็อนุญาตให้ประกันตัวได้ แต่ที่ทำให้นายอุทัยต้องเป็นทุกข์อย่างมากคือ ตั้งแต่ขอประกันตัวออกมาตั้งแต่วันที่ 11 เม.ย.2560 ถึงปัจจุบันเป็นเวลาเกือบ 2 ปีแล้ว นายอุทัยต้องเดินทางจากจังหวัดอุบลราชธานี ไปรายงานตัวกับพนักงานสอบสวนและสำนักงานอัยการจังหวัดระยองทุกเดือน ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายระหว่างเดินทางไปกลับครั้งละ 5,000-6,000 บาท ทำให้ต้องขายที่ดิน และยืมเงินจากกองทุนต่างๆ ทำให้ครอบครัวเป็นหนี้สินจากการต่อสู้คดีมากว่า 3 แสนบาท
และนายอุทัย ยังอ้างอีกว่า ในวันที่ถูกนำตัวมาสอบสวนในเดือนเมษายน 2560 พยานที่เป็นคนเจ็บที่อยู่ในที่เกิดเหตุ รวมทั้งชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ ซึ่งพนักงานสอบสวนให้มาชี้ตัวนายอุทัย พยานทั้งหมดก็ระบุว่า นายอุทัยไม่ใช่ผู้ขับขี่รถยนต์ (อีแต๋น) ที่เกิดการเฉี่ยวชนกัน
แต่ตำรวจยังแจ้งข้อหาและต่อมาได้ส่งสำนวนไปให้พนักงานอัยการพิจารณา และอัยการได้ตีสำนวนกลับให้สอบสวนเพิ่ม เนื่องจากหลักฐานอ่อนไม่พอฟ้อง แต่จนถึงวันนี้ พนักงานสอบสวนก็ยังไม่ทำอะไร โดยบอกว่าอยู่ระหว่างส่งสำนวนให้กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดระยองพิจารณา แต่ทำให้นายอุทัยได้รับความเดือดร้อนที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเดือนทางไปรายงานตัวทุกเดือนเป็นเวลานานร่วม 2 ปีแล้ว จึงต้องการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด และกระทรวงยุติธรรม เข้ามาดูแลสำนวนการสอบสวนด้วย
หากตนไม่ผิดก็ควรจะได้รับการปล่อยตัว ไม่ใช่ยังดึงเรื่องไว้โดยไม่ทำอะไร ซึ่งล่าสุดตนได้ร้องทุกข์ไปยังศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดอุบลราชธานี แต่ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า จึงขอมาเปิดเผยเรื่องราวกับสื่อมวลชน เพราะทนไม่ไหวกับค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไป และเสียเวลาในการประกอบอาชีพที่ผ่านมาด้วย เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามไปยังนายวิเชิด วัณโท อายุ 50 ปี สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลก่อเอ้ ซึ่งเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกันกับนายอุทัย ก็เล่าว่า ครอบครัวนายอุทัยได้มาปรึกษาตนที่เป็นสมาชิก อบต.ของพื้นที่ ซึ่งก็แนะนำให้นำเรื่องไปร้องเรียนกับศูนย์ดำรงธรรมประจำจังหวัดอุบลราชธานี เพราะทราบดีว่านายอุทัย ที่เป็นลูกบ้านขับรถยนต์ไม่เป็น ขับได้แต่รถจักรยานยนต์ และได้รับแจ้งว่าเป็นการออกหมายจับผิดตัว แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ระยองก็ยังไม่ทำอะไร ปล่อยให้เรื่องยังคาราคาซังมาถึงวันนี้ ซึ่งในเย็นวันนี้ ตนก็จะเดินทางไปพร้อมกับนายอุทัย เพื่อไปสอบถามความคืบหน้าเรื่องคดีที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดระยองในเช้าวันที่ 21 ม.ค. ซึ่งเป็นวันที่นายอุทัย ต้องไปรายงานตัวตามนัดของพนักงานสอบสวน สภ.บ้านค่ายด้วย
ข่าวโดย : เกียรติรัตน์ ชัยสกุลวงศ์
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: