อุบลราชธานี – อาจารย์โรงเรียนประถมศึกษาในจังหวัดอุบลราชธานี ป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะสุดท้าย สุดแพทย์จะเยียวยาหลังรักษามานานร่วม 11 ปี เพราะร่างกายไม่ตอบสนองกับการรักษาด้วยเคมีบำบัด แต่ไม่สิ้นหวังเอาน้ำมันกัญชามารักษาเดือนเดียวอาการจากใกล้ตาย ลุกมาเดินกินข้าวน้ำได้เหมือนปกติ
จากที่มีการแชร์ภาพว่ามีหญิงสูงอายุรายหนึ่ง ป่วยเป็นโรคมะเร็งนานกว่า 11 ปี กระทั่งเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ครอบครัวหมดหนทางรักษา เพราะแพทย์ระบุว่าร่างกายผู้ป่วยที่รับการรักษาด้วยเคมีบำบัดไม่ตอบสนองต่อการรักษาแล้ว สามีจึงนำภรรยามารักษาด้วยน้ำมันกัญชาในช่วงเทศกาลสงกรานต์ แต่ถึงวันนี้จากสภาพที่ใกล้ตาย แต่กลับมีอาการดีขึ้นอย่างมหัศจรรย์นั้น
วันนี้ ผู้สื่อข่าวจังหวัดอุบลราชธานี ได้เข้าพิสูจน์ความจริงกับนางละม้าย ชาวชายโขง อายุ 65 ปี ข้าราชการครูบำนาญ พักอาศัยอยู่ในบ้านไผ่ใหญ่ ต.ไผ่ใหญ่ อ.ม่วงสามสิบ จ.อุบลราชธานี โดยนางละม้าย และนายวิเชียร สองสามีภรรยาเล่าให้ฟังว่า เริ่มมีอาการป่วยไม่ทราบสาเหตุเมื่อราวปี 2552
ก็ได้เดินทางเข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ซึ่งขณะนั้น แพทย์สงสัยจากป่วยเป็นไทรอยด์ หรือทอนซิล เพราะมีอาการเหนื่อยและรู้สึกผิดปกติบริเวณลำคอ แต่เมื่อแพทย์นำชิ้นเนื้อไปตรวจก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ แต่ก็ยังมีอาการป่วย ลูกที่ทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ จึงพาไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาลรัฐในกรุงเทพฯแห่งหนึ่ง เมื่อปี 2553
กระทั่งทราบว่า นางละม้ายป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองบริเวณลำคอด้านซ้าย แพทย์จึงส่งไปให้แพทย์เฉพาะทางช่วยรักษา โดยทำการผ่าตัดเอาชินเนื้อร้ายออก พร้อมทำการรักษาด้วยเคมีบำบัดควบคู่กันไป
นางละม้าย ซึ่งเป็นครูสอนโรงเรียนประถมในอำเภอม่วงสามสิบ จึงได้เออรี่ออกจากราชการมารักษาตัว เพราะต้องไปพบแพทย์ตามที่นัดทุกครั้ง ปรากฏปี 2557 ก็กลับมีอาการป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองอีก และการป่วยเริ่มลามไปยังบริเวณไหล่ แพทย์วินิจฉัยป่วยจากเชื้อมะเร็งอีกชนิดหนึ่ง จึงต้องรับเคมีบำบัดและเข้ารับการตรวจรักษาต่อเนื่องจนถึงปี 2559
ต่อมาในปี 2561 พบว่าอาการป่วยของนางละม้ายได้ลุกลามเพิ่มขึ้นจากการป่วยเป็นมะเร็งระยะที่ 2 และ 3 กลายเป็นป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายในขั้น 4 เพราะเชื้อได้ลามเข้าไปในทรวงอกและบริเวณหน้าท้อง ต้องเข้ารับเคมีบำบัดเป็นระยะตามแพทย์สั่ง
กระทั่งต้นเดือนเมษายน 2562 แพทย์ที่ให้การรักษาระบุว่า ร่างกายของผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยการทำคีโมแล้ว พร้อมส่งตัวให้ไปทำการรักษาด้วยการฉายแสง แต่ปรากฏระหว่างนั้น สภาพร่างกายผู้ป่วยเริ่มทรุดอย่างหนัก และมีเกร็ดเลือดต่ำ แพทย์จึงนัดให้มาทำการฉายแสงในเดือนมิถุนายนที่จะถึง นางละม้าย จึงบอกกับนายวิเชียร ชาวชายโขง สามีให้นำตนเองกลับมาตายที่บ้าน เพราะมีอาการหนัก มีไข้สูง กินน้ำและอาหารไม่ได้เลย
นายวิเชียร จึงตัดสินใจโทรศัพท์สอบถามคนรู้จักที่เคยแนะนำให้ลองนำน้ำกัญชาสกัดใช้รักษามะเร็ง เพราะเป็นหนทางสุดท้ายที่จะช่วยภรรยาของตนเอาไว้ได้ เมื่อได้รับน้ำกัญชาสกัดมาจากเพื่อน และกำลังนำภรรยาขึ้นรถกลับบ้านเมื่อวันที่ 12 เมษายนที่ผ่านมา ระหว่างทางได้หยอดน้ำมันกัญชาให้ภรรยาอมไว้ใต้ลิ้น เมื่อกลับมาถึงบ้านปรากฏอาการไข้ของนางละม้าย ที่มีไข้สูง 35 องศาเซลเซียสติดต่อกันมา 8-9 วัน ได้หายไป รวมทั้งนางละม้ายมีสีหน้าดีขึ้น ไม่มีอาการเจ็บปวดทุรนทุรายเหมือนช่วงที่ยังอยู่กรุงเทพฯ
ตั้งแต่นั้น ก็ได้ให้น้ำมันกัญชาให้นางละม้ายอมไว้ใต้ลิ้น รวมทั้งนำน้ำมันมาทาบริเวณแผลติดต่อกันราว 2 สัปดาห์ อาการปวดบวมจากแผลของมะเร็งที่แตกและลุกลามจากลำคอฝั่งหนึ่งไปฝั่งหนึ่ง และยังลามไปบริเวณทรวงอก ก็ลดลงอย่างน่ามหัศจรรย์ ซึ่งขณะนั้นใช้นำมันกัญชาไปได้ราว 15 ซีซี จึงขอน้ำมันกัญชาจากเพื่อนมาใช้รักษาเพิ่ม
จนถึงวันนี้ ใช้น้ำมันกัญชาไปแล้วเกือบ 30 ซีซี ปรากฏนางละม้ายภรรยา ซึ่งเมื่อกลางเดือนเมษายนยังมีอาการทรุดหนัก และเพื่อนบ้านที่มาเยี่ยมทุกคนต่างบอกว่าคงอยู่ได้อีกไม่นาน สามารถลุกขึ้นมากินข้าวกินน้ำได้ตามปกติ แผลที่เคยปวดบวมบริเวณลำคอและลามไปถึงหน้าอก ก็ยุบหายไปทั้งหมด โดยวันนี้ นางละม้ายสามารถเดินออกไปเก็บเห็ดจากป่าในหมู่บ้าน เพื่อนำมาทำกินได้แล้ว
ส่วนน้ำมันกัญชาที่เหลือ ก็ยังจะนำมาใช้รักษาอาการต่อไป จนกว่าจะครบ 90 วัน ตามที่ได้รับคำแนะนำคือ ให้ใช้น้ำมันกัญชารักษาโรคนี้ราว 60 ซีซีใน 90 วัน เมื่อถึงเดือนมิถุนายน ก็จะเดินทางไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลที่นัดดูอาการ เพื่อให้ตรวจดูเกร็ดเลือด แต่คงไม่ฉายแสงตามที่เคยได้รับคำแนะนำแล้ว เพราะเชื่อว่า การใช้น้ำมันกัญชาก็สามารถรักษาให้หายป่วยจากโรคนี้ได้
ด้านนางละม้ายกล่าวว่า ตลอดช่วง 11 ปีที่ผ่านมา ครอบครัวต้องใช้เงินรักษาอาการป่วยของตนไปจำนวนหลายล้านบาท ขณะที่ป่วยหนักในระยะสุดท้าย ไม่รู้สึกกลัวที่จะต้องตาย คิดเพียงอยากมีโอกาสหายและกลับมาบวชชีอีกสักครั้งเท่านั้น
และอยากรู้ว่าการตายนั้น ต้องเจ็บปวดอย่างไรด้วย แต่เมื่อวันนี้ ยังมีชีวิตอยู่ จึงอยากให้รัฐบาลให้โอกาสคนป่วยได้ใช้น้ำมันกัญชาเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่ง เพราะตนใช้อย่างได้ผลมาแล้ว
ขณะที่นายวิเชียร ที่เป็นสามีระบุว่า ตอนแรกไม่เคยคิดเอาน้ำมันกัญชามารักษาภรรยา เพราะเห็นว่าการรักษาด้วยการผ่าตัดและใช้เคมีบำบัด ก็ช่วยรักษาอาการป่วยได้ แต่ก็ปรากฏเหมือนตัดต้นไม้แต่ยังเหลือราก ตัดออกแล้วแต่ก็กลับมาป่วยได้อีก ตลอดช่วงที่ผ่านมาตน ต้องลาออกจากงานบริษัทเอกชน เพื่อมาดูแลภรรยาที่ป่วยกว่า 10 ปี แต่การรักษาก็ไม่ได้หายอย่างเด็ดขาด
มาวันนี้ ตนอยากเรียกร้องไปยังรัฐบาลให้โอกาสคนป่วยมีทางเลือกในการรักษา อย่าให้คนป่วยต้องตกอยู่ในสภาพไม่มีทางเลือก โดยต้องใช้ยาเคมีที่อาจเป็นธุรกิจของคนบางกลุ่ม แต่คนรับกรรมคือคนที่มีอาการเจ็บป่วย ซึ่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาตนก็ได้ไปขอขึ้นทะเบียนมีกัญชาไว้ในครอบครอง เพื่อรักษาอาการป่วยแล้ว
พร้อมไม่คิดจะกลายเป็นข่าว เพราะคนที่รู้จักกันในกลุ่มสอบถามที่ตนนำต้นกัญชาไปปลูก ก็บอกจะปลูกเพื่อเอาใบสดไปต้มเป็นน้ำชาให้ภรรยากิน นึกไม่ถึงจะมีการนำออกไปแชร์ในเฟสบุคจนเป็นข่าวในขณะนี้
ด้าน น.ส.ชลิตตรา สิงห์อ่อน เพื่อนบ้านของนางละม้าย เล่าว่า ทราบอาการป่วยของอาจารย์มานานหลายปี ตอนที่ยังไม่ป่วยหนัก ก็ยังพูดจาได้ กระทั่งเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา เมื่อนายวิเชียรนำอาจารย์ละม้ายกลับมาที่บ้านใหม่ๆ ได้เข้าไปเยี่ยมดูอาการ ช่วงนั้นนางละม้ายยังพูดไม่ได้ เพราะมีอาการเจ็บบริเวณลำคอ ซึ่งตนก็คิดว่านางละม้ายมีอาการหนักกว่าทุกครั้งที่เห็น
แต่เวลาผ่านไปประมาณ 2 สัปดาห์ก็เห็นนางละม้ายมีอาการดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา จากกินข้าวกินน้ำไม่ได้ ก็กินได้และต่อมาก็ออกเดินเหินนอกบ้านและพูดคุยได้ ก็สอบถามนายวิเชียรก็บอกว่าใช้น้ำมันกัญชารักษาอาการป่วย ตนเองก็รู้สึกทึ่งเป็นอย่างมาก ถ้าเป็นอย่างนี้ คาดว่าอาจารย์ละม้ายก็คงมีชีวิตอยู่ไปได้อีกนานแน่นอน
อย่างไรก็ตามคนแต่ละคนมีสรีระร่างกายที่ไม่เหมือนกันโปรดใช้วิจารณญาณในการใช้สมุนไพรกัญชาโดยผู้เชี่ยวชาญ และการผลิตที่สะอาด ถูกหลักอนามัยด้วย
เกียรติรัตน์ ชัยสกุลวงศ์ ข่าว
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: