กว่า 5 ปีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจยังมึนงงกับการคลำหาตัวฆาตกรโรคจิตที่ก่อเหตุสะเทือนขวัญอย่างต่อเนื่องกับหญิงสูงวัยที่ไร้ทางสู้ ในหลายพื้นที่จนเป็นข่าวครึกโครมในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 7
คดีข่มขืนหญิงสูงวัยหลายราย จนเป็นที่หวาดผวาของชาวบ้านใน อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม และพื้นที่ใกล้เคียงเป็นอย่างมาก และต่อเนื่องมาถึง อำเภอสามพราน และอำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ที่คนร้ายลงมือก่อเหตุในลักษณะเดียวกัน โดยพฤติกรรมของคนร้ายจะเลือกเหยื่อที่เป็นผู้หญิงสูงวัยอาศัยอยู่เพียงลำพังในบ้านกลางสวน หรือพบเจอเดินผ่าน บริเวณพื้นที่เปลี่ยว ฆาตกรโรคจิตก็จะลงมือทันทีซึ่งมีทั้งข่มขืนแล้วไม่ฆ่าและมีทั้งฆ่าและข่มขืน
ปี 2555 มีหญิงสูงวัยตกเป็นเหยื่อทั้งหมด 7 ราย ในพื้นที่ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 โดย 4 รายแรกเกิดขึ้นในจังหวัดสมุทรสงคราม ส่วน 3 ราย สุดท้าย เกิดขึ้นในจังหวัดนครปฐม สำหรับคดีแรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2555 คนร้ายก่อเหตุข่มขืนและฆ่าหญิงสูงวัย อายุ 61 ปี ซึ่งพักอาศัยอยู่ในบ้านพักกลางสวนมะพร้าวเพียงลำพัง คดีที่ 2 เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2555 คนร้ายก่อเหตุข่มขืนหญิงชราวัย 70 ปี ขณะออกไปดูแลสวนผลไม้ ซึ่งห่างจากที่เกิดเหตุคดีแรกไม่มากนัก คดีที่ 3 เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2555 คนร้ายก่อเหตุข่มขืนหญิงสูงวัยอายุ 59 ปี คดีที่ 4 เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2555 คนร้ายก่อเหตุทำร้ายร่างกายแล้วชิงทรัพย์หญิงสูงวัยอายุ 47 ปี คดีที่ 5 เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 มี.ค.2556 คนร้ายได้ก่อเหตุในพื้นที่ อ.สามพราน จังหวัดนครปฐม โดยจับผู้เสียหายอายุ 76 ปี มัดมือมัดเท้าขึงพืดกับเสาเตียงก่อนลงมือข่มขืน ถัดมาอีก 5 วัน คือวันที่ 28 มี.ค.56 คนร้ายได้บุกเข้าไปจับเหยื่อเป็นหญิงอายุ 42 ปีมัดมือมัดเท้าแล้วเอาทรัพย์สินเป็นเงินสดจำนวนหนึ่ง กับ โทรศัพท์มือถือไป เหตุเกิดท้องที่อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม ซึ่งรายนี้ผู้เสียหายไม่ได้บอกว่า ถูกขืนใจหรือไม่ และล่าสุดเมื่อวันที่ 11 มิ.ย.56 ที่ผ่านมา ได้มีคนร้ายเข้าไปก่อเหตุฆ่าข่มขืนหญิงชราวัย 78 ปีแล้วทิ้งศพเปลือยกายไว้บนที่นอนในบ้านเรือนทรงไทยยกพื้น ขณะผู้ตายนอนอยู่บ้านเพียงลำพัง ในพื้นที่ อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม
พฤติกรรมต่อเนื่องของคนร้าย นับว่าเป็นภัยสังคมที่ชาวบ้านกำลังหวาดผวา ตำรวจหลายหน่วยงาน ต้องระดมไล่ล่าฆาตกรโรคจิตรายนี้ โดยนำหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และหลักพฤติกรรมศาสตร์มาช่วยแกะรอย ในเบื้องต้นเกิดเหตุ 4 คดีแรกที่จังหวัดสมุทรสงคราม นายรุจประทีป ธรรมรพีภัทร นายอำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงครามและผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ ร่วมกันลงขันตั้งรางวัลนำจับ 1 แสนบาท เพื่อให้ประชาชนชี้เบาะแสคนร้ายที่มีพฤติกรรมล่วงละเมิดทางเพศหญิงสูงวัยที่ก่อเหตุในครั้งนั้น
ข่าวน่าสนใจ:
การให้เงินรางวัลนำจับคนร้ายทำให้มีผู้แจ้งเบาะแสมายัง พ.ต.อ.ประพาส อินตา ผกก.สภ.บางคนที และชุดสืบสวนจำนวนมาก ทางกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ในสมัยนั้น โดย พล.ต.ท.หาญพล นิตย์วิบูลย์ ผู้บัญชาการฯ ได้สั่งการไปยัง พล.ต.ต.สุทธิพงษ์ วงษ์ปิ่น ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 7 นำกำลังลงพื้นที่จังหวัดสมุทรสงครามเพื่อควานหาตัวฆาตกรต่อเนื่องรายนี้แบบปูพรมทั่วทุกตารางนิ้ว ชายฉกรรจ์ที่อยู่ในละแวกดังกล่าวที่เข้าข่ายต้องสงสัยจำนวนนับร้อยคนได้ถูกนำตัวมาสอบสวนและตรวจพิสูจน์ทางหลักนิติวิทยาศาสตร์ โดยขอเก็บเนื้อเยื่อบริเวณกระพุ้งแก้มเพื่อนำไปเปรียบเทียบกับดีเอ็นเอของคนร้าย ซึ่งการสืบสวนสอบสวนติดตามคนร้าย พล.ต.ท.จรัมพร สุระมณี ผช.ผบ.ตร.ยืนยันว่า ผลตรวจดีเอ็นเอของคนร้ายที่ก่อเหตุทั้ง 4 คดีเป็นบุคคลเดียวกัน
พ.ต.อ.ประพาส อินตา ผกก.สภ.บางคนที บอกว่า 3 คดีแรกพฤติกรรมคนร้ายที่ก่อเหตุ พบหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ยืนยันว่าเป็นคนเดียวกัน จนกระทั่งคดีสุดท้าย เหยื่อซึ่งเป็นหญิงสาวสูงวัยกับคนร้ายที่ก่อเหตุพยายามชิงทรัพย์ด้วย ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่แปลกกว่า 3 คดีแรก แต่ที่น่าสังเกตุคดีสุดท้ายคนร้ายกระโดดเหยียบกระจกแตกแล้วได้รับบาดเจ็บ ผลการตรวจดีเอ็นเอจากเลือดที่ติดอยู่บริเวณผ้าม่าน ตรงกับดีเอ็นเอของคนร้ายในสามคดีแรก สรุปก็คือเป็นคนร้ายคนเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม หลังเกิดคดีสะเทือนขวัญ พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ผู้บังคับการกองปราบปรามได้สั่งการให้ พ.ต.อ.วัชรพล ทองล้วน ผู้กำกับการ 5 กองบังคับการกองปราบปราม พร้อมชุดสืบสวน ลงพื้นที่ช่วยการแกะรอยจับคนร้ายที่มีพฤติกรรมต่อเนื่อง โดยใช้หลักเหยื่อวิทยาและหลักพฤติกรรมศาสตร์ เข้ามาช่วยในการคลี่คลายคดีอีกแรงหนึ่งด้วย
พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ผู้บังคับการกองปราบปราม ได้พูดถึงคดีนี้ว่า ชุดสืบสวนที่ลงพื้นที่ร่วมคลี่คลายคดีที่เกิดขึ้น ได้นำหลักเหยื่อวิทยา คือการเข้าพูดคุยกับผู้เสียหายที่ยังมีชีวิตและนำสำนวนการสอบสวนคดีฆาตกรรม เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์ว่า คนร้ายชอบเหยื่อลักษณะแบบไหน เพราะเหตุใดถึงเลือกเหยื่อที่เป็นหญิงชราและหญิงสูงวัย นอกจากนี้ ยังได้นำหลักพฤติกรรมศาสตร์ของคนร้ายมาวิเคราะห์ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะของการก่อเหตุ รวมไปถึงพฤติกรรมอื่นๆ ที่ต้องหาข้อมูลลึกลงไปมากกว่าแผนประทุษกรรมของคนร้ายโดยทั่วไป
ผลสรุปของการสืบสวนสอบสวนในพื้นที่ ทางตำรวจคาดว่าคนร้ายที่ก่อเหตุทั้ง 4 คดี น่าจะเป็นคนในพื้นที่หรืออาจจะอยู่ในละแวกใกล้เคียง ซึ่งพฤติกรรมการก่อเหตุของคนร้ายค่อนข้างชัดเจนว่าเลือกเวลาในการก่อเหตุช่วงระหว่างหลังเที่ยงคืนไปแล้วนั่นเอง
การตั้งข้อสังเกตคนร้ายในคดีนี้ มีเหตุผลจากเพราะว่าจุดเกิดเหตุแต่ละที่ค่อนข้างอยู่ห่างกัน อีกทั้งคนร้ายน่าจะรู้ความเคลื่อนไหวของเหยื่อแต่ละรายพอสมควร โดยรู้ว่าเหยื่อรายไหนพักอาศัยอยู่เพียงลำพัง อีกทั้งคาดว่า การที่คนร้ายเลือกเหยื่อที่เป็นหญิงชรา เพราะคิดว่าจะไม่สามารถจำหน้าผู้ก่อเหตุได้ อีกทั้งไม่มีกำลังพอที่จะส่งเสียงเอะอะโวยวายหรือต่อสู้ ยกเว้นเหยื่อรายแรกที่ต่อสู้จนกระทั่งถูกทำร้ายร่างกายจนเสียชีวิต โดยผลการชันสูตรของแพทย์ลงความเห็นว่า กระดูกซี่โครงหัก ตับแตก ม้ามแตก และเหยื่อรายสุดท้ายพยายามต่อสู้เช่นกัน
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้ง 4 คดี ในพื้นที่ ต.บางยี่รงค์ และพื้นที่ ต.บางคนที ทางตำรวจก็กวดขันหาทางป้องกันอย่างเต็มที่และพยายามติดตามจับคนร้ายที่ก่อเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายหน่วยงานเข้ามาร่วมกันคลี่คลายคดีที่เกิดขึ้น โดยนำตัวผู้ต้องสงสัยหลายรายในพื้นที่และพื้นที่ใกล้เคียงไปสอบสวนเก็บพยานหลักฐาน แต่สันนิษฐานได้ว่าคนร้ายอาจไม่ได้อยู่ในพื้นที่แล้วนั่นเอง
สำหรับเหตุที่เกิดในพื้นที่จังหวัดนครปฐมทั้ง 3 คดี โดยเฉพาะคดีสุดท้ายที่คนร้ายลงมือฆ่าข่มขืนหญิงชราวัย 78 ปี ในพื้นที่อำเภอพุทธมณฑล ขณะนั้น พล.ต.ท.หาญพล นิตย์วิบูลย์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 พร้อมด้วย พล.ต.ต.สมบูรณ์ ฮวบบางยาง รอง ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 พล.ต.ต.เพชรรัตน์ แสงไชย ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐม และ พ.ต.ท.ณรงค์ธรรม มาศคีรีวงศ์ สาววัตรงานตรวจสถานที่เกิดเหตุพิสูจน์หลักฐาน 7 ในขณะนั้น ได้เดินทางมาตรวจสอบบริเวณที่เกิดเหตุ พบว่าพฤติกรรมของคนร้ายมีลักษณะเดียวกันกับคนร้ายที่ก่อเหตุในพื้นที่จังหวัดสมุทรสงคราม และเมื่อนำหลักฐานที่เก็บได้จากที่เกิดเหตุไปตรวจทางวิทยาศาสตร์ ยืนยันได้ว่าคนร้ายเป็นบุคคล คนเดียวกัน
แม้ทางเจ้าหน้าที่จะทำงานกันอย่างหนักและทำทุกวิถีทางในการที่จะหาตัวคนร้าย ตลอดจนนำภาพสเก็ตช์ของคนร้าย ซึ่งเป็นชายผิวคล้ำอายุประมาณ 35 -40 ปี ไปปิดประกาศไว้ตามสถานที่ต่าง ๆ แล้วก็ตาม ก็ยังไม่สามารถจับกุมคนร้ายดังกล่าวได้และนั่นก็เป็นสิ่งที่ทุกคนหวาดหวั่นว่าคนร้ายจะหวนกลับมาก่อเหตุหรือไม่
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำซากเหล่านี้ ไม่รู้จะสิ้นสุดเมื่อไหร่ จากคดีสุดท้ายที่คนร้ายก่อเหตุในพื้นที่อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐมจนถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 4 ปี ที่ตำรวจยังไม่สามารถปิดคดีลงได้ และถ้านับจากคดีแรกที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดสมุทรสงครามมาจนถึงวันนี้ ก็เป็นระยะเวลานานกว่า 5 ปี ซึ่งคนร้ายก็ยังคงหลบหนีลอยนวลและเป็นเงาดำในความมืด ซึ่งไม่มีใครจะรู้ได้เลยว่า..เหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นอีกหรือไม่ ถ้าเกิดขึ้นจะเป็นที่ใด..และใคร..จะเป็นผู้โชคร้าย..รายต่อไป…
คงต้องฝากไปถึง ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ที่เพิ่งมารับตำแหน่งในปัจจุบันไม่นาน รื้อคดีติดตาม โชว์ผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาประชาชน เพื่อคืนความสงบสุขให้หญิงสูงวัยได้นอนพักหลับสบายกันเสียที…
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: