นครพนม – วันที่ 4 กรกฎาคม 2561 ที่หอประชุมสหกรณ์ออมทรัพย์ครูหนองบึก ถนนอภิบาลบัญชา เขตเทศบาลเมืองนครพนม นายประสาท ทัศดร รักษาราชการแทน พัฒนาการจังหวัดนครพนม พร้อมผู้ประกอบการสินค้าโอทอป จำนวน 3 ตำบล (โนนตาล,หนองสังข์,ท่าเรือ) ร่วมกันเปิด”โครงการชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี” มี นายประทีป ฤทธิกุล รอง ผวจ.ฯ เป็นประธานในพิธีเปิด
โดยนายประสาทฯเผยว่า โครงการดังกล่าวเป็นโครงการที่จะเข้ามาสร้างความรู้ความเข้าใจ ให้กับคณะกรรมการบริหารจัดการชุมชนท่องเที่ยว OTOP ฯ ตลอดจนผู้นำชุมชนและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับประชาชนในชุมชนต่างๆ ของจังหวัด และการเป็นผู้ประกอบการ OTOP ของชุมชน ที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยนแนวความคิดในการพัฒนาสินค้านั้นๆให้มีความหลากหลาย และทันสมัยมากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับการท่องเที่ยวที่จะเข้ามาในชุมชน แต่จะต้องสอดแทรกเสน่ห์ทางศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญา และวิถีชีวิตของแต่ละชุมชนที่มีความแตกต่างลงไปให้กลายเป็นของฝาก ของรับประทาน และเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ ยังผลให้นักท่องเที่ยวเกิดความประทับใจและอยากกลับมาสัมผัสกับวิถีของคนในชุมชนอีกครั้ง
รวมถึงส่งผลต่อรูปแบบการจำหน่ายสินค้า OTOP ที่เดิมต้องนำออกนอกชุมชนกลายเป็นสินค้าจำหน่ายในชุมชนแทน สร้างให้ทุกคนมีรายได้ มีอาชีพ และชุมชนมีความเข้มแข็ง นอกจากนี้ทุกคนยังจะได้รับทราบถึงกรอบนโยบายการดำเนินงานของจังหวัดเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติของแต่ละชุมชน และได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับนวัตกรรม OTOP ของแต่ละชุมชนที่นำมาจัดแสดงภายในงานด้วย
ผลิตภัณฑ์สินค้าโอทอปจาก 3 ตำบล คือเครื่องปั้นดินเผาที่บ้านกลาง ต.โนนตาล อ.ท่าอุเทน ซึ่งเป็นชนเผ่าไทญ้อ(ย้อ) ได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงแห่งการปั้นครกดินเผา ที่มีชื่อเสียงระดับจังหวัดและระดับประเทศ เป็นหมู่บ้านเครื่องปั้นดินเผาที่เก่าแก่ ผลิต ครก ไห และไหปลาร้าที่ดีที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นอกจากนี้หมู่บ้านดังกล่าวยังเป็นแหล่งปลูกสับปะรดฉ่ำ หวานที่สุดในประเทศไทย ส่วนอาหารของชาวไทญ้อที่ขึ้นชื่อลือชาคือ หมกเจาะหรือ หมกจ๊อ เป็นอาหารขึ้นชื่อ ถือว่าเป็นเมนูที่ขาดไม่ได้ในสำรับข้าว ทำจากเนื้อปลาตอง(ปลากราย) หรือ ปลาสลาด มาตำคลุกเคล้าผสมเครื่องปรุงซึ่งมีพริกแดง หอมแดง ตะไคร้ ข้าวเบือ นำมาโขลกมาตำให้ละเอียดจนเหนียวหนึบ ห่อด้วยผักม้วนแล้วนำไปนึ่ง ทานกับข้าวเหนียวร้อนๆ
ต.หนองสังข์ อ.นาแก เป็นชนเผ่าไทกะเลิง มีผ้าย้อมคราม เป็นผ้าพื้นเมืองที่ผลิตขึ้นโดยใช้วัตถุดิบที่มีอยู่ในท้องถิ่น ได้แก่ ฝ้าย และคราม เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นแล้วนำมาแปรรูปเป็นของใช้ในครัวเรือน เช่น เสื้อ กางเกง ผ้าขาวม้า ย่าม ผ้าห่ม เป็นต้น เมื่อเหลือใช้ก็จำหน่ายในชุมชนและใกล้เคียง ซึ่งเป็นที่นิยมแพร่หลายมากขึ้น ก่อให้เกิดรายได้เป็นกอบเป็นกำแก่คนในชุมชน นอกจากนี้ยังมีเครื่องจักสานจากใยพลาสติก (ตะกร้า, หมวก) มีความแข็งแรง ผลิตภัณฑ์ผ้าทอได้แก่ผ้ามุก และไวน์ผลไม้ ส่วนอาหารเด่นประจำชนเผ่า ได้แก่ ไก่ดำต้มหม้อดิน (ต้มไก่แหล่มอดิน) เป็นอาหารพื้นบ้านของเผ่ากะเลิง สมัยก่อนนิยมเลี้ยงไก่ใต้ถุนบ้าน เพื่อเป็นอาหารและจำหน่าย เมื่อมีญาติพี่น้องมาเยี่ยมเยือนที่บ้าน ชาวกะเลิงมักจะเลือกเมนูต้มไก่ให้กิน ถ้าเป็นไก่ดำยิ่งมีคุณค่าและมูลค่ามหาศาล หรือแกงขะยุขะยะ(แกงปลาเล็กปลาน้อย กุ้งฝอย แมงเหนี่ยว ใส่ผักรวม) เป็นอีกเมนูหนึ่งอาหารของบรรพบุรุษเผ่าไทยกะเลิง วัตถุดิบมีอยู่ตามท้องไร่ท้องนา ห้วยหนอง หาได้อย่างละเล็กละน้อย ถ้าแยกชนิดในการปรุงอาหารคงไม่พอ เลยแกงรวมกัน ผักที่เก็บตามท้องไร่ท้องนา เช่น ผักขี้ขม ผักขี้ส้ม ผักติ้ว และข้าวฝันเป็นอาหารหวานของบรรพบุรุษ ใช้ประกอบอาหารหวานในงานบุญแจกข้าว งานแต่ง งานบุญประเพณีวัด เข้าพรรษา ออกพรรษา ข้าวประดับดิน ข้าวสาก เป็นต้น
ต.ท่าเรือ อ.นาหว้า เป็นชนเผ่าไทลาว ได้ชื่อว่าเป็นหมู่บ้านแห่งเสียงดนตรี ด้วยชีวิตที่ผูกผันกับเครื่องดนตรีพื้นบ้านอีสาน ทั้งแคน พิณ โหวต โปงลาง มาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ ชาวบ้านแทบทุกครัวเรือน ประกอบอาชีพทำเครื่องดนตรีดังกล่าว อันเป็นที่มาของฉายาว่า “หมู่บ้านแห่งเสียงดนตรี” นอกจากนี้ยังมีการปลูกฝังให้ลูกหลานมีจิตสำนึก ของการอนุรักษ์ ร่วมสืบสานวัฒนธรรมพื้นบ้านแห่งเสียงดนตรี ด้วยการเปิดโรงเรียนหมอแคน นอกจากจะทำเครื่องดนตรีพื้นบ้านอีสานได้ยอดเยี่ยมแล้ว ฝีมือการทอผ้าไหมที่ผู้หญิงชาวบ้านท่าเรือสืบทอดภูมิปัญญาในการมัดลาย ย้อมสี และสอดประสานเส้นไหมเป็นลวดลายต่างๆ มาตั้งแต่ปู่ย่า ตายาย ก็มีลักษณะเฉพาะที่ทำให้ผ้าไหมบ้านท่าเรือมีลวดลายงดงามได้รับความนิยมจากท้องตลาดเป็นอย่างดี ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ดนตรีพื้นบ้าน และผ้าไหมผืนสวย ได้รับการพัฒนายกระดับคุณภาพจนกลายเป็น สินค้าตามโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ที่ดีเยี่ยมที่สุด และมีคุณค่ามากที่สุด
พร้อมกันนี้พัฒนาชุมชนฯนครพนม ยังเปิดช่องทางการเรียนรู้การพัฒนาสินค้าโอทอปอีก 50 ชุมชน ในโครงการบ้านฉันมีดี เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันด้วย
