นครพนม – วันที่ 6 ก.ค.61 เวลา 09.00 น. ศาลจังหวัดนครพนมได้สืบพยานโจทก์นัดแรกเป็นวันที่สอง ในคดีของนางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร หรือศรีบุญหอม อายุ 55 ปี อดีตข้าราชการครูในจังหวัดสกลนคร ในคดีอาญาเลขที่ 295/60 ข้อหาซ่องโจร และความผิดเกี่ยวกับเอกสารฯลฯ มีจำเลยร่วม จำนวน 7 คน ประกอบด้วย 1.นายสุริยา นวนเจริญ หรือครูอ๋อง อดีตข้าราชการครูโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดมุกดาหาร เพื่อนคนสนิท 2.นางทัศนีย์ หาญพยัคฆ์ พยานที่อ้างว่าเห็นเหตุการณ์ 3.นางทองเรศ วงศ์ศรีชา พยานที่นั่งซ้อนท้าย จยย.มากับนางทัศนีย์ 4.นายนิรันดร์ แสนเมืองโคตร อดีตสามีของนางจอมทรัพย์ 5.นายเสน่ห์ สุพรรณ เพื่อนสนิทอีกคนของนางจอมทรัพย์ 6.นางรจนา จันทรัตน์ เจ้าของฉายานักสืบโซเซียล 7.น.ส.วาสนา เพ็ชรทอง หลานสาวผู้วิ่งเต้นด้านเอกสารระหว่างนางจอมทรัพย์ต้องโทษ ส่วนจำเลยอีกสองคนคือ นายสับ วาปี ผู้อ้างว่าเป็นคนขับรถ และนางจันทร์ วาปี ผู้เป็นภรรยา ได้สารภาพต่อศาลจังหวัดนครพนมไปก่อนหน้านี้ จึงถูกแยกไปอีกสำนวนหนึ่ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันแรก(5 ก.ค.61) นางจอมทรัพย์กับนายสุริยาถูกเบิกตัวจากเรือนจำกลางจังหวัดนครพนม เดินทางมาศาลฯในฐานะจำเลยที่ 1 และที่ 2 พบเจอเพื่อนและญาติที่มานั่งรออยู่หน้าบัลลังก์ได้ถามไถ่กันพอสมควร ศาลฯก็ได้ออกนั่งบัลลังก์ โดยระหว่างสืบพยานนั้นมิให้ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ารับฟัง และก่อนจะเริ่มสืบพยานฝ่ายโจทก์นางทัศนีย์กับนางทองเรศ ได้รับสารภาพว่าเป็นผู้เบิกความเท็จต่อศาลฯจริง ส่วนข้อหาซ่องโจรนั้นขอปฏิเสธ ขณะจำเลยที่เหลืออีก 5 คน ไม่ยอมรับข้อกล่าวหาทั้งหมด โดยพยานฝ่ายโจทก์ปากแรกคือ พ.ต.อ.ไพโรจน์ กุจิรพันธ์ ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง รอง ผบก.ปส.3(กองบังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด 3 กรุงเทพฯ) ซึ่งเป็นนายตำรวจที่รับผิดชอบสืบสวนสอบสวนคดีดังกล่าวมาตั้งแต่ต้น ที่นางจอมทรัพย์ออกมาพูดกับสื่อว่าตนเองเป็นแพะในคดีขับรถยนต์ชนคนตาย โดยมีอัยการจังหวัดฯและทนายฝ่ายจำเลยผลัดเปลี่ยนกันซักถาม ถึงเวลา 20.00 น.จึงแล้วเสร็จ ซึ่งศาลฯได้นัดสืบพยานโจทก์ในวันที่สอง(6 ก.ค.61) อีกสองปาก
การสืบพยานโจทก์ช่วงเช้าวันที่ 6 ก.ค.61 มีนายสมจิตร หรือวิจิตร คำลือชัย ผู้ถูกนายสุริยาหรือครูอ๋องสั่งให้โทรไปหานายสับ วาปี ว่าเป็นผู้ขับรถยนต์ทะเบียน บค 56 มุกดาหาร เฉี่ยวชนนายเหลือ พ่อบำรุงถึงแก่ความตาย แต่นายสับปฏิเสธ เพราะได้ขายรถคันดังกล่าวไปให้ผู้ใหญ่บ้านนันทวัน หมู่ 6 ต.กุดแข้ อ.เมือง จ.มุกดาหาร ไปแล้วตั้งแต่ปี 2545-46 ในราคา 50,000 บาท นายสมจิตรหรือวิจิตรจึงเหมือนกุญแจดอกแรกที่จะไขไปสู่ขบวนการปั้นแพะ ในการช่วยเหลือนางจอมทรัพย์ให้เป็นผู้บริสุทธิ์
ข่าวน่าสนใจ:
ส่วนช่วงบ่าย พ.ต.อ.ปราโมทย์ อุทากิจ ผกก.กลุ่มงานสอบสวน บก.ภ.จว.นครพนม เป็นผู้ขึ้นเบิกความต่อศาลฯ ซึ่งเป็นนายตำรวจที่นายสุริยาหรือครูอ๋องพาขบวนการปั้นแพะไปพบที่ บก.ภ.จว.ฯ และด้วยความสงสารในชะตากรรมของนางจอมทรัพย์ พ.ต.อ.ปราโมทย์ฯยังได้แนะนำให้ไปหาทนายความคนหนึ่ง ซึ่งตั้งสำนักงานอยู่เยื้องกับศาลจังหวัดนครพนม แต่ทนายเห็นว่าคดีถึงที่สุดแล้วจึงไม่รับว่าความ แต่เข้ามาว่าความให้ในคดีแพ่ง ตอนที่นายสับอ้างว่าเป็นคนขับรถโผล่นำเงินจำนวน 170,000 บาท มาเยียวยาครอบครัวผู้เสียชีวิต แต่ภายหลังนายสับรับสารภาพว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นของครูอ๋อง ซึ่งนัดที่สองศาลจังหวัดนครพนม นัดสืบพยานฝ่ายโจทก์ในวันที่ 17-19 ก.ค.นี้
คดีปั้นแพะบันลือโลก เกิดขึ้นวันที่ 11 มีนาคม 2548 เวลาประมาณ 20.30 น.นางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร อายุ 54 ปี อดีตข้าราชการครูโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดสกลนคร ถูกกล่าวหาว่า ขับรถยนต์โตโยต้า รุ่นไมตี้เอ็กซ์ ทะเบียน บค 56 สกลนคร เฉี่ยวชนนายเหลือ พ่อบำรุง อายุ 75 ปี ถึงแก่ความตาย บนถนนสายธาตุน้อย-นาเหนือ บ้านสร้างเม็ก หมู่ 7 ต.ท่าลาด อ.เรณูนคร จ.นครพนม พื้นที่รับผิดชอบของ สภ.ต.นาโดน(ในขณะนั้น) แต่ไม่มีอำนาจการสอบสวนคดีอาญา จึงต้องให้พนักงานสอบสวน สภ.เรณูนคร เป็นผู้สอบสวนรายละเอียด (ภายหลัง สภ.ต.นาโดน ยกฐานะเป็น สภ.นาโดน ตามโครงสร้างของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีอำนาจการสอบสวนเต็ม เมื่อปลายปี 2550)
ร.ต.อ.ทงศักดิ์ โพธิโหน่ง (ยศในขณะนั้น) เป็นพนักงานสอบสวน สภ.เรณูนคร สรุปสำนวนการสอบสวน มีความเห็นสั่งฟ้อง พร้อมส่งสำนวนการสอบสวนไปยังพนักงานอัยการ เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2548 และพนักงานอัยการมีความเห็นสั่งฟ้องตามความเห็นของพนักงานสอบสวน ต่อสู้กันถึง 3 ศาล วันที่ 25 สิงหาคม 2549 ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกครูจอมทรัพย์ 3 ปี 2 เดือน วันที่ 7 พฤษภาคม 2552 ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง และวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2556 ศาลฎีกาพิพากษากลับตามศาลชั้นต้นสั่งจำคุกนางจอมทรัพย์ ต้องโทษ 1 ปี 6 เดือน ก็ได้รับอภัยโทษ หลังออกจากคุกก็ออกมาโวยว่าตนเองเป็นแพะดังกล่าว
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: