X

“ยิ่งใหญ่สมพระเกียรติ” มทบ.210 จัดพิธีสวนสนามถวายสัตย์ปฏิญาณ

นครพนม – “ยิ่งใหญ่สมพระเกียรติ” มทบ.210 จัดพิธีสวนสนามถวายสัตย์ปฏิญาณ เนื่องในปีมหามงคลบรมราชาภิเษก 2562 และวันกองทัพไทย

วันที่ 18 มกราคม 2563 เวลา 15.00 น. พันเอก ชลิต บรรจงปรุ รองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 210 (มทบ.210) พร้อมคณะผู้บังคับบัญชา เป็นประธานนำกำลังพลทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง ร่วมในพิธีสวนสนามถวายสัตย์ปฏิญาณเนื่องในปีมหามงคลบรมราชาภิเษก พ.ศ.2562 และวันกองทัพไทย ณ สนามหน้ากองบัญชาการ มณฑลทหารบกที่ 210(บก.มทบ.210) ค่ายพระยอดเมืองขวาง ต.กุรุคุ อ.เมือง จ.นครพนม โดยมีนายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่สอง/ส.ส.นครพนม เขต 1 พรรคภูมิใจไทย นายรังสรรค์ คัมภิรานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดฯ พร้อมหัวหน้าส่วนราชการ ศาล อัยการ ทหาร ตำรวจ นักเรียน นักศึกษา พ่อค้า นักธุรกิจ และประชาชนในพื้นที่ร่วมเป็นเกียรติในงาน

การสวนสนามในวันกองทัพไทยปีนี้ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรัชกาลปัจจุบัน ซึ่งกิจกรรมครั้งนี้ ทหาร ตำรวจทุกหมู่เหล่าจะร่วมพิธีสวนสนามถวายสัตย์ปฏิญาณโดยพร้อมเพรียงกันอย่างสง่างามในชุดเครื่องแบบเต็มยศ เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดี ความสามัคคี ความสามารถ ความเข้มแข็ง และความพร้อมเพรียงของเหล่าทัพ เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว องค์จอมทัพไทย เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562

โดยเวลา 15.55 น. หมู่ธงเชิญธงชัยเข้าประจำที่หน้าพระบรมฉายาลักษณ์ เพื่อรอรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี พร้อมด้วย สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดีกรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ซึ่งจะมีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จากศูนย์การทหารม้า ค่ายอดิศร ตำบลปากเพรียว อำเภอมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี จากนั้นร่วมกันรับฟังพระบรมราโชวาท และร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี เพลงสดุดีจอมราชา จากนั้นเหล่าทหารกองผสมมณฑลทหารบกที่ 210 กล่าวคำปฏิญาณตนโดยพร้อมเพรียงกัน จากนั้นร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีอย่างกึกก้องทั่วประเทศไทย โดยพสกนิกรทุกหมู่เหล่าของจังหวัดนครพนมที่มาร่วมพิธีได้เฝ้าร่วมส่งเสด็จฯ เป็นเสร็จพิธี

วันกองทัพไทย เป็นวันที่ระลึกในวาระที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกระทำยุทธหัตถีมีชัยชนะแก่พระมหาอุปราชาแห่งกรุงหงสาวดี ในอดีตกระทรวงกลาโหมได้กำหนดให้วันที่ 8 เมษายนของทุกปี เป็นวันกองทัพไทย ต่อมาปี พ.ศ. 2523 เปลี่ยนเป็นวันที่ 25 มกราคม หลังจากนั้นได้มีนักประวัติศาสตร์หลายท่านตรวจสอบ และพบว่าวันที่ทรงกระทำยุทธหัตถีนั้น แท้จริงแล้วไม่ได้ตรงกับวันที่ 25 มกราคม แต่น่าจะตรงกับวันที่ 18 มกราคม จนกระทั่งวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2549 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ให้เปลี่ยนแปลง “วันกองทัพไทย” เป็นวันที่ 18 มกราคมของทุกปี และถือเป็น “วันยุทธหัตถี”และ”วันสมเด็จพระนเรศวรมหาราช”

ประวัติวันกองทัพไทย ได้รับการบันทึกหน้าประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่นี้ว่าในปีพุทธศักราช 2135 พระเจ้าบุเรงนองโปรดให้พระมหาอุปราชา นำกองทัพทหารสองแสนสี่หมื่นคน มาตีกรุงศรีอยุธยาหมายจะชนะศึกในครั้งนี้ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงทราบว่าพม่าจะยกทัพใหญ่มาตี จึงทรงเตรียมไพร่พล มีกำลังหนึ่งแสนคนเดินทางออกจากบ้านป่าโมกไปแขวงสุพรรณบุรี ข้ามน้ำตรงท่าท้าวอู่ทอง และตั้งค่ายหลวงบริเวณหนองสาหร่าย รุ่งเช้าของวันจันทร์ แรม 2 ค่ำ เดือนยี่ ปีมะโรง พุทธศักราช 2135 สมเด็จพระนเรศวรมหาราช และสมเด็จพระเอกาทศรถ พระอนุชา ทรงเครื่องพิชัยยุทธ

การศึกครั้งนี้สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงช้าง นามว่า “เจ้าพระยาไชยานุภาพ” ส่วนพระสมเด็จพระเอกาทศรถ ทรงช้างนามว่า “เจ้าพระยาปราบไตรจักร” ซึ่งช้างทรงของทั้งสองพระองค์นั้นเป็นช้างชนะงา คือ ช้างมีงาที่ได้รับการฝึกให้รู้จักการต่อสู้มาแล้ว หรือเคยผ่านสงครามชนช้าง ชนะช้างตัวอื่นมาแล้ว ซึ่งเป็นช้างที่กำลังตกมัน ในระหว่างการรบจึงวิ่งไล่ตามพม่า หลงเข้าไปในแดนพม่า มีเพียงทหารรักษาพระองค์ และจตุลังคบาทเท่านั้นที่ติดตามไปทัน สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทอดพระเนตรเห็นพระมหาอุปราชาทรงพระคชสารอยู่ในร่มไม้กับเหล่าเท้าพระยา จึงทราบได้ว่าช้างทรง ของสองพระองค์หลงถลำเข้ามาถึงกลางกองทัพ และตกอยู่ในวงล้อมข้าศึกแล้ว แต่ด้วยพระปฏิภาณไหวพริบของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงเห็นว่าเป็นการเสียเปรียบข้าศึก จึงไสช้างเข้าไปใกล้แล้วตรัสถามด้วยคุ้นเคยมาก่อนแต่วัยเยาว์ว่า “เจ้าพี่จะยืนช้างอยู่ในร่มไม้ทำไม ขอเชิญเสด็จมาทำยุทธหัตถีกัน ให้เป็นเกียรติยศเถิด กษัตริย์ภายหน้าที่จะชนช้างอย่างเราไม่มีอีกแล้ว” พระมหาอุปราชาได้ยินดังนั้น จึงไสช้างนามว่า “พลายพัทธกอ” เข้าชนเจ้าพระยาไชยานุภาพเสียหลัก พระมหาอุปราชาทรงฟันสมเด็จพระนเรศวรมหาราชด้วยพระแสงของ้าว แต่สมเด็จพระนเรศวรฯทรงเบี่ยงหลบทัน จึงฟันถูกพระมาลาหนังขาด จากนั้นเจ้าพระยาไชยานุภาพชนพลายพัทธกอเสียหลัก สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงฟันด้วยพระแสงของ้าวถูกพระมหาอุปราชาเข้าที่อังสะขวา สิ้นพระชนม์อยู่บนคอช้าง

ส่วนสมเด็จพระเอกาทศรถ ทรงฟันเจ้าเมืองจาปะรีเสียชีวิตเช่นกัน ทหารพม่าเห็นว่าแพ้แน่แล้ว จึงใช้ปืนระดมยิงใส่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้รับบาดเจ็บ ทันใดนั้น ทัพหลวงไทยตามมาช่วยทัน จึงรับทั้งสองพระองค์กลับพระนคร พม่าจึงยกทัพกลับกรุงหงสาวดีไป นับแต่นั้นมาก็ไม่มีกองทัพใดกล้ายกมากล้ำกรายกรุงศรีอยุธยาอีกเลย

พระแสงของ้าวที่สมเด็จพระนเรศวรทรงพระประหารพระมหาอุปราชาครั้งนั้น ได้นามต่อมาว่า “พระแสงแสนพลพ่าย” และพระมาลาที่ถูกฟันปรากฏนามว่า “พระมาลาเบี่ยง” นับเป็นเครื่องมงคลราชูปโภคมาจนบัดนี้ ส่วนช้างศึกที่ชนะก็ได้รับพระราชทานชื่อว่า” เจ้าพระยาปราบหงสาวดี ”

ถูกใจข่าวนี้ไหม?

คลิกที่ดาวเพื่อโหวต

ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต:

ติดตามข่าวสารผ่าน Line 77 ข่าวเด็ด กดปุ่มเพิ่มเพื่อนเลย

เพิ่มเพื่อน