X

ชาวบ้านยื่นหนังสือร้องผู้ว่าฯ + หมอสงค์ โดนรัฐบุกรุกที่ดิน 202 ไร่

นครพนม – ชาวบ้านยื่นหนังสือร้องผู้ว่าฯ + หมอสงค์ โดนรัฐบุกรุกที่ดิน 202 ไร่ เผยบรรพบุรุษครอบครองมากว่า 100 ปี 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บ้านพักของนายแพทย์ประสงค์ บูรณ์พงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย ถนนอดุลยทาน เขตเทศบาลเมืองนครพนม นายณพจน์สกร ทรัพยสิทธิ์ หัวหน้ากลุ่มมหานคร นครพนม ว่าที่ผู้สมัครนายก อบจ.นครพนม ได้พานายปริญญา ประชากุล อาชีพทนายความ พร้อมราษฎร ต.หนองญาติ อ.เมือง จ.นครพนม หมู่ที่ 1,4,5,6 และหมู่10 ที่ได้รับความเสียหายบริเวณที่ดินรอบหนองญาติที่ถูกกรมธนารักษ์เขตพื้นที่จังหวัดนครพนม ดำเนินการรังวัดแนวเขตอ่างเก็บน้ำชลประทานตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด โดยรังวัดรุกล้ำเข้าไปในเขตที่ดินอันเป็นที่นาของราษฎร กินเนื้อที่ประมาณ  200 กว่าไร่เศษ ทำให้ราษฎรได้รับความเสียหาย และเดือดร้อนจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐ

นายปริญญาฯเปิดเผยว่า ผู้เดือดร้อนรวมทั้งตนได้รับที่ดินมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ทำประโยชน์ด้วยการทำนาปลูกข้าว มาตั้งแต่ปี 2440-2560 รวมเป็นระยะเวลา 100 กว่าปี โดยชาวบ้านในละแวกต่างรู้เห็นว่าใครเป็นเจ้าของที่ บวกกับในขณะนั้นอ่างเก็บน้ำหนองญาติยังเป็นหนองน้ำสาธารณะ (เพิ่งมาขึ้นทะเบียนเมื่อปี พ.ศ.2494 และมีการรังวัดขึ้นทะเบียนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง ในปี พ.ศ.2515 รวมเนื้อที่ 3,286 ไร่)

ต่อมาวันที่ 1 ธันวาคม 2497 มีประกาศใช้ประมวลที่ดินขึ้น ให้ชาวบ้านที่มีสิทธิครอบครองที่ดินมาก่อน ยื่นคำขอแจ้งการครอบครองต่อเจ้าพนักงานที่ดิน ภายใน 180 วัน ก็มีการแจ้งสิทธิการครอบครองตามประกาศทางราชการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

ประมาณ พ.ศ.2549 มีการฟ้องร้องกันเกี่ยวกับกรณีพิพาทเนื้อที่ของอ่างเก็บน้ำหนองญาติ ในศาลปกครอง เขต 4 จังหวัดขอนแก่น ว่า “อ่างเก็บน้ำหนองญาติมีเนื้อที่ทั้งหมดเท่าไหร่ และกินเนื้อที่ล้ำเข้าไปในที่นาของราษฎรบริเวณใกล้เคียงหรือไม่” กระทั่งวันที่ 26 มีนาคม 2557 ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาให้อ่างเก็บน้ำชลประทานหนองญาติ มีเนื้อที่ทั้งหมด 3,284 ไร่ 1 งาน

ต่อมาวันที่ 6 มิถุนายน 2560 มีเจ้าหน้าที่ชลประทาน เขต 7 จังหวัดอุบลฯ เจ้าพนักงานรังวัดที่ดินจังหวัดนครพนม และเจ้าหน้าที่สำนักงานธนารักษ์เขตพื้นที่จังหวัดนครพนม ได้ร่วมกันรังวัดโดยอ้างว่าเป็นแนวเขตที่ดินของอ่างเก็บน้ำหนองญาติ ตามคำสั่งศาลปกครอง ลงวันที่ 26 มีนาคม 2557 เนื้อที่ 3,284 ไร่ แต่เป็นการเข้าไปรังวัดตามอำเภอใจ กินเนื้อที่เกินคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดไปจำนวน 202 ไร่ โดยรุกล้ำเข้าไปในเขตที่นาของชาวบ้าน พร้อมปักหมุดเป็นเสาคอนกรีต ทำให้ราษฎรผู้ร้องได้รับความเสียหาย จึงร่วมกันยื่นคำร้องคัดค้านไว้ต่อเจ้าหน้าที่ธนารักษ์พื้นที่จังหวัดนครพนม

นายปริญญาฯกล่าวต่อว่า ปัจจุบันอ่างเก็บน้ำหนองญาติอยู่ห่างจากหัวไร่ปลายนาของราษฎรผู้ร้อง ประมาณ 500-600 เมตร สามารถพิสูจน์ได้ในที่ดินพิพาททั้งหมด แต่ธนารักษ์ฯนครพนมกลับกล่าวหาชาวบ้านผู้ร้องเป็นผู้บุกรุกล้ำที่ดินอ่างเก็บน้ำฯ ตนในฐานะผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน จึงต้องการให้พิสูจน์ด้วยข้อเท็จจริง เหตุผล และข้อกฎหมาย ตามที่กล่าวข้างต้น ย่อมชี้ชัดได้ว่าที่ดินแปลงพิพาททั้งหมด เป็นที่ดินของบรรพบุรุษ เป็นผู้บุกเบิกมาตั้งแต่ปี 2439-2440 ก่อนประมวลกฎหมายที่ดินประกาศใช้ร่วม 50 ปี บวกกับขณะนั้นยังไม่มีการจดทะเบียนอ่างเก็บน้ำหนองญาติ ขณะที่บรรพบุรุษของพวกตนได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ ด้วยการทำนาปลูกข้าวมาเกินกว่า 100 ปี อยู่ดีๆ ก็มีเจ้าหน้าที่ของรัฐมาขีดเส้นเขตอ่างเก็บน้ำในภายหลัง

“สิ่งที่พวกเราร้องขอความเป็นธรรม คือ มีคำสั่งให้พนักงานผู้เชี่ยวชาญการรังวัดตรวจสอบที่ดินของกระทรวงยุติธรรมในส่วนกลางที่เป็นกลางจริงๆ มาดำเนินการรังวัดที่นาของราษฎร และรังวัดเนื้อที่อ่างเก็บน้ำ จำนวน 3,284 ไร่ 1 งาน ว่าการรังวัดของเจ้าหน้าที่รัฐครั้งก่อน กินเนื้อที่เกินคำพิพากษาไป 202 ไร่ จริงหรือไม่” นายปริญญาฯกล่าว

นอกจากนี้นายปริญญาฯยังได้เผยว่า มีอดีตผู้นำเจ้าหน้าที่รังวัดตรวจสอบที่ดิน ปี 2560 ให้ญาติพามาพบตนเพื่อในสภาพล้มป่วยเป็นอัมพาต โดยเผยสาเหตุที่ต้องให้ญาติพามาหา เพราะสำนึกผิดในสิ่งที่ตนกระทำลงไป จึงต้องการจะขอขมาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์บริเวณรอบอ่างเก็บน้ำหนองญาติ ตนจึงพาไปที่ศาลเจ้าที่ชาวเวียดนามเคารพนับถือ หากจะให้อดีตผู้นำคนนั้นมาพูดอาจจะได้ความกระจ่างเพิ่มขึ้น

ด้าน นพ.ประสงค์ บูรณ์พงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย จะนำเอกสารที่ราษฎรยื่นร้องขอความเป็นธรรม เช่น นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ฯลฯ ขณะที่ตนเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ  ก็จะยื่นต่อนายไชยา พรหมา ประธานคณะกรรมาธิการฯเพื่อดำเนินการช่วยเหลือต่อไป

ส่วน นายณพจน์สกร ทรัพยสิทธิ์ หัวหนัากลุ่มมหานคร นครพนม ว่าที่ผู้สมัครนายก อบจ.นครพนม ในฐานะเป็นนักกฎหมายด้วย เปิดเผยว่าเหตุที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือราษฎร เพราะได้รับการร้องเรียนอยากให้ช่วยเหลือเรื่องนี้ เนื่องจากเรื่องราวผ่านมาแล้ว 2-3 ปี ยังไม่ได้รับการแก้ไข

ต่อจากนั้นกลุ่มผู้ร้องเรียน ได้เดินทางไปยังศาลากลางจังหวัดนครพนม เพื่อยื่นหนังสือร้องทุกข์ต่อ นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม และได้รับเรื่องไว้ พร้อมรับจะทำการตรวจสอบเพื่อช่วยเหลือความเดือดร้อนของราษฎรต่อไป

 

ถูกใจข่าวนี้ไหม?

คลิกที่ดาวเพื่อโหวต

ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต:

ติดตามข่าวสารผ่าน Line 77 ข่าวเด็ด กดปุ่มเพิ่มเพื่อนเลย

เพิ่มเพื่อน