นครพนม – ชาวนครพนมพร้อมใจใส่ชุดขาว ประกอบพิธีบุญซำฮะเมืองไล่เสนียดจัญไรเสริมสิริมงคลตามประเพณีฮีตสิบสองคองสิบสี่
วันที่ 19 มิถุนายน 2563 ที่บริเวณวัดโอกาส(ศรีบัวบาน) เทศบาลเมืองนครพนม ประชาชนชาวจังหวัดนครพนมพร้อมใจใส่ชุดขาวร่วมประกอบพิธีประเพณีบุญเดือนเจ็ด หรือบุญซำฮะเมือง ซึ่งเป็นหนึ่งในงานประเพณีฮิตสิบสองคองสิบสี่ ที่ชาวอีสานทุกคนได้ยึดถือปฏิบัติเป็นขนบธรรมเนียมอย่างเคร่งครัดมาช้านาน โดยในปี้นี้เทศบาลเมืองนครพนมได้มีการสมมติบุคคลเป็นเจ้าเมืองต่างๆ เพื่อประกอบพิธีบุญซำฮะเมือง ประกอบไปด้วย พระราชสิริวัฒน์ รองเจ้าคณะจังหวัดนครพนม เป็นราชครู นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมเป็นอุปฮาด นายรังสรรค์ คัมภิรานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมเป็นเมืองขวา นายนรวัฒน์ สวยงาม ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดนครพนมเป็นเมืองซ้าย นายณรงค์ชัย อรุณแสงศิลป์ อัยการจังหวัดนครพนมเป็นราชวงศ์ นายนิวัฒน์ เจียวิริยบุญญา นายกเทศมนตรีเมืองนครพนมเป็นตาเมือง นายสมลักษ์ ยกน้อยวงษ์ นายอำเภอเมืองเป็นหูเมือง พลตำรวจตรี ธนชาติ รอดคลองตัน ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนมเป็นทะแกล้ว พันเอก สุระ สินโสภา รองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 210 เป็นทหาร และนายสุเทพ อติวรรณกุล นายกสมาคมพ่อค้าจังหวัดนครพนมเป็นกวนขุน
โดยแต่ละท่านจะเป็นตัวแทนประกอบพิธีจุดเทียนหลักเมืองตามยศและตำแหน่งทักษิณาของเมืองที่สมมติขึ้นมาเป็นกำแพงเมืองนครพนม จากนั้นจึงประกอบพิธีปักธงและโปรยเหรียญตามลำดับ ก่อนที่จะเปิดโอกาสให้ผู้ที่มาร่วมงานนำธงที่เตรียมมาไปปักยังหลักเมืองรอบกำแพงเมืองที่สมมติและโปรยเหรียญจนแล้วเสร็จ จากนั้นทุกคนได้ร่วมกันไหว้พระ สมาทานศีล พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ ก่อนที่จะร่วมกันรับฟังพระธรรมเทศนา เทศน์ชำระเพื่อขับส่งเสนียดจัญไรออกจากเมือง และนำน้ำมนต์ที่ได้จากการประกอบพิธีไปประพรมตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อความร่มเย็นเป็นสุข
สำหรับบุญซำฮะเมือง หรือบุญชำระเมืองนั้น เกิดขึ้นตามความเชื่อที่ว่าเมื่อถึงเดือน 7 ต้องทำบุญชำระจิตใจให้สะอาด เพื่อปัดเป่ารังควาญสิ่งที่ไม่เป็นมงคลออกไปจากชีวิตและหมู่บ้าน โดยบางท้องถิ่นเรียกประเพณีนี้ว่าบุญเบิกบ้านทั้งนี้บุญซำฮะเมืองมีเรื่องเล่าในพระธรรมบทว่า เมื่อครั้งเมืองไพสาลีเกิดทุพภิกขภัยข้าวยากหมากแพงเพราะฝนแล้ง ทำให้มีสัตว์เลี้ยงและผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก ด้วยความหิวโหยและเกิดโรคระบาด ดังนั้นชาวเมืองจึงพากันไปนิมนต์พระพุทธเจ้ามาขจัดปัดเป่าให้ โดยพระองค์และพระสงฆ์ จำนวน 500 รูป ได้เดินทางด้วยเรือมาตามแม่น้ำใช้ระยะเวลา 7 วัน จึงถึงเมืองไพสาลี และเมื่อเสด็จมาถึงก็เกิดฝนตกลงมาอย่างหนัก ทำให้น้ำท่วมแผ่นดินสูงจนถึงหัวเข่า และได้พัดเอาสิ่งสกปรก ซากศพของคนและสัตว์ต่างๆ ที่ล้มตายหายไปจนหมดสิ้น จากนั้นพระพุทธเจ้าก็ได้นำน้ำมนต์ใส่บาตร ให้พระอานนท์นำไปประพรมทั่วทั้งพระนคร ทำให้โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ หายไปสิ้น จึงเป็นเหตุให้เมื่อถึงเดือน 7 ครั้งใด คนไทยอีสานและคนลาวโบราณพากันนำเอาดอกไม้ธูปเทียน ขันน้ำ ขันใส่ขวดทรายและฝ้ายผูกแขนมารวมกันที่วัด จากนั้นก็นิมนต์พระสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์ จนกระทั่งรุ่งเช้าอีกวัน ก่อนที่จะร่วมกันทำบุญตักบาตร รับศีลรับพรและประพรมน้ำมนต์ จากนั้นทุกคนจะนำน้ำมนต์ที่เหลือกลับไปยังบ้านตนเอง เพื่อประพรมให้คนในครอบครัว บ้านเรือนและสัตว์เลี้ยงของตนเอง ส่วนฝ้ายผูกแขนก็นำไปให้บุตรหลาน เพื่อใช้เป็นเครื่องรางคอยปกป้องคุ้มครองให้ทุกคนอยู่เย็นเป็นสุข ขณะที่กรวดทรายก็นำไปวางรอบๆ บริเวณบ้านและที่นา เพื่อขับไล่เสนียดจัญไรและสิ่งอัปมงคลให้หมดไปจากชีวิต
ข่าวน่าสนใจ:
- นครพนม ทหารพรานสนธิกำลังยึดยาบ้าเกือบ 2 แสนเม็ด! ตรวจพบฝิ่นดิบกว่า 3 กิโลกรัม ริมแม่น้ำโขง
- ชาวบ้านผวา พบเสือ 3 แม่ลูก ป้วนเปี้ยนในป่า 100 ไร่ใกล้ฟาร์มเลี้ยงวัว ไม่กล้าเกี่ยวข้าว-กรีดยาง วอนบุกพิสูจน์
- บุกพิสูจน์ หลังชาวบ้าน พบเสือ หนุ่ม 27 ถ่ายคลิปเสือขณะกรีดยาง
- นายกเทศบาลตำบลนาคำ แจงเหตุต้องระงับเพลิงล่าช้า จากกรณีเหตุเพลิงไหม้บ้านพักอาศัยของชาวบ้าน
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: