นครพนม – เมียหนุ่ม อบต.เปิดไทม์ไลน์วันเกิดเหตุ มั่นใจถูกทำร้ายจนตับแตก สุดเศร้าผัวร้องขอให้ช่วยส่ง รพ.ตลอดทาง ตำรวจปัดการช่วยเหลือ
วันที่ 6 สิงหาคม 2563 ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้า เกี่ยวกับคดีการเสียชีวิตปริศนาของ นายวิทยา โสภาวงค์ อายุ 40 ปี พนักงานขับรถ อบต.ก้านเหลือง อ.นาแก จ.นครพนม ซึ่งเสียชีวิตจากเหตุการณ์ตำรวจชุดสืบสวน สภ.หนองบ่อ เข้าตรวจสอบจับกุม ขณะนั่งดื่มเหล้ากับเพื่อนกลุ่มวัยรุ่น ในบ้านพักเลขที่ 245 หมู่ 9 บ้านจำปา ต.ก้านเหลือง ช่วงคืนวันที่ 28 กรกฎาคม ที่ผ่านมา โดยผู้ตายตกใจจึงลุกวิ่งหลบหนีไปหลังบ้าน แต่ตำรวจไล่ตะครุบตัวกลับมาได้ หลังจับกุมได้ควบคุมตัวกลุ่มวัยรุ่นไปสอบสวนที่ สภ.หนองบ่อ และผู้ตายมีอาการช็อกหมดสติ ตำรวจจึงนำตัวส่งไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาลอำเภอนาแก แต่แพทย์ยืนยันว่าเสียชีวิตก่อนที่จะถึงโรงพยาบาล
ข่าวน่าสนใจ:
ต่อมาญาติทราบข่าวติดตามไปดูอาการ พร้อมประสานเจ้าหน้าที่ขอส่งศพไปชันสูตรที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น เนื่องจากติดใจการเสียชีวิต และเชื่อว่านายวิทยาต้องถูกทำร้ายร่างกาย เนื่องจากมีการตรวจสอบสภาพศพเบื้องต้น พบมีรอยฟกช้ำหลายจุดคล้ายถูกทำร้าย สอดคล้องกันผลการชันสูตรที่รับรองการเสียชีวิต ของสถาบันนิติเวช จ.ขอนแก่น ระบุว่าผู้ตายมีเลือดออกในช่องท้อง ตับและไตฉีกขาด ทางญาติจึงมั่นใจว่าถูกตำรวจชุดจับกุมทำร้ายจนเสียชีวิต และออกมาเรียกร้องขอความเป็นธรรม เนื่องจากไปแจ้งความดำเนินคดี แต่ไม่ได้รับการดูแล จึงมีการนำศพออกมาแห่ประท้วง และเรียกร้องขอความเป็นธรรม โดยล่าสุดทางญาติยังยืนยันจะเก็บศพไว้ที่บ้านพัก ไม่มีกำหนด เพราะมีความกังวลเรื่องพยานหลักฐาน ซึ่งต้องรอผลการชันสูตรโดยละเอียดอีกประมาณ 3 สัปดาห์ เพื่อนำมายืนยันประกอบการดำเนินคดี
ในส่วนของการดำเนินคดีของตำรวจ พล.ต.ต.ธนชาติ รอดคลองตัน ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม มีคำสั่งย้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจรวม 8 นาย ประกอบด้วย สารวัตรใหญ่ สภ.หนองบ่อ ทีมตำรวจชุดสืบสวนอีก 7 นาย มีชั้นสัญญาบัตร 1 นาย และ ชั้นประทวน 6 นาย ไปประจำที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม โดยขาดจากตำแหน่งเดิม เพื่อไม่ให้กระทบกับการดำเนินคดี และตั้งทีมสอบสวน ทำสำนวนส่งไปยัง ปปช. พิจารณาความผิดตามขั้นตอน เนื่องจากผู้ถูกกล่าวหาเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ขณะนี้อยู่ระหว่างการเร่งสอบสวน สรุปพยานหลักฐาน ภายในระยะเวลา 30 วัน ในส่วนของการดำเนินคดีของกลุ่มเยาวชน ที่ถูกจับกุม พบว่าทางตำรวจ มีการแจ้งข้อหาทั้งหมด 6 ราย ฐานความผิดร่วมกันเสพยาบ้า และมียาเสพติดประเภท 1 ยาบ้าไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย เนื่องจากระหว่างตำรวจชุดสืบสวนเข้าตรวจค้นจับกุม พบยาเสพติดในที่เกิดเหตุ แต่ไม่ระบุว่าเป็นของใคร อีกทั้งตรวจพบสารเสพติดในร่างกายทั้ง 6 คน ส่วนผู้ตายยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา และยังไม่มีผลการตรวจสารเสพติด เนื่องจากมีอาการช็อกหมดสติ และนำส่งโรงพยาบาลก่อนเสียชีวิตในเวลาต่อมา
ล่าสุดทางด้าน นางสาวกนกพร พงษ์พันษ์ อายุ 38 ปี ภรรยาของผู้ตาย เปิดเผยไทม์ไลน์วันเกิดเหตุว่า ผู้ตายอยู่บ้านช่วงหัวค่ำกับครอบครัว ถึงเวลาประมาณ 19.00 น. ผู้ตายได้บอกว่าจะออกไปนั่งกับเพื่อนในหมู่บ้านสักพัก ซึ่งตนยังได้ย้ำว่าไม่ต้องดึกมาก เพราะต้องไปส่งลูกชายไปเรียนตอนเช้า พอถึงเวลาประมาณ 22.00 น. มีน้องวัยรุ่นในหมู่บ้าน มาบอกว่าผู้ตายถูกจับ นำตัวไปส่งที่ สภ.หนองบ่อ จึงรู้สึกตกใจมาก และชวนน้องสาวตามไปดู เพราะยังสงสัยว่าถูกจับเรื่องอะไร แต่ห่างกันไม่ถึง 30 นาที มีน้องโทรมาบอกอีกว่า ผู้ตายช็อกถูกส่งไปที่โรงพยาบาลนาแก ยิ่งสับสวนมากขึ้น เพราะผู้ตายไม่เคยป่วยไม่มีโรคประจำตัว จากนั้นจึงรีบตามไปถึงโรงพยาบาลทางแพทย์ยืนยันว่าเสียชีวิตมาก่อนที่จะถึง สอบถามตำรวจก็ไม่มีใครให้ข้อมูล เชื่อว่าน่าจะมีปัญหาและถูกทำร้าย เพราะดูจากสภาพศพหลังเกิดเหตุมีแผลฟกช้ำหลายจุด จึงนำศพส่งไปชันสูตรที่สถาบันนิติเวช จ.ขอนแก่น จนผลตรวจเบื้องต้นออกมาว่า มีเลือดออกในช่องท้อง อีกทั้งตับไตฉีกขาด ยิ่งทำให้มั่นใจว่าถูกทำร้ายแน่นอน
น.ส.กนกพรกล่าวต่ออีกว่า ได้ไปสอบถามน้องที่อยู่ในเหตุการณ์เล่าถึงช่วงเกิดเหตุ มีตำรวจเข้ามาตรวจค้นในบ้านของน้องอีกคนที่ในกลุ่มเดียวกัน จึงพากันตกใจและวิ่งหนีตำรวจ รวมถึงผู้ตายวิ่งไปหลังบ้าน ซึ่งมีจุดที่กระโดดลงระเบียงบ้านสูงแค่ 1 เมตรเศษ มั่นใจว่าไม่ใช่สาเหตุที่จะทำให้บาดเจ็บ และผู้ตายยังวิ่งเข้าไปป่าหลังบ้าน ทำให้ตำรวจติดตามไปจับกุมมาได้ จากนั้นมีน้องที่อยู่ในเหตุการณ์ยืนยันว่า ประมาณ 10 -15 นาที เห็นตำรวจนำผู้ตายกลับมาในสภาพพยุงตัวหิ้วแขนทั้ง 2 ข้างกลับมาบ้านที่เกิดเหตุ แต่ผู้ตายมีอาการผิดปกติ ร้องขอความช่วยเหลือให้นำตัวส่งไปที่โรงพยาบาล เพราะแน่นหน้าออก หายใจไม่ออก นอกจากนี้ยังมีอาการตัวซีด แต่ตำรวจปฏิเสธ ยืนยันนำตัวไปที่โรงพัก จึงนำตัวขึ้นรถไปที่โรงพัก ทั้งที่ผู้ตายสภาพผิดปกติขอความช่วยเหลือตลอดทาง จนกระทั่งถึงโรงพักได้ปล่อยให้ผู้ตายนอนกับพื้นหน้าโรงพัก ในสภาพที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และไม่มีการช่วยเหลือ โดยร้องขอความช่วยเหลือตลอดเวลา บอกว่าแน่นหน้าอกหายใจไม่ออก จนในที่สุดตัวซีดช็อกหมดสติไป น้องที่เห็นสภาพจึงเรียกตำรวจให้ช่วยนำส่งโรงพยาบาล พอถึงแพทย์ระบุว่าเสียชีวิตแล้ว ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวรู้สึกแย่มากกับการทำงานของตำรวจ มั่นใจว่าผู้ตายถูกทำร้าย เพราะร่างกายแข็งแรง ไม่เคยเจ็บป่วย ซ้ำร้ายรู้ว่าผู้ตายมีอาการบาดเจ็บ ร้องขอความช่วยเหลือกลับถูกปฏิเสธ มันโหดเหี้ยมเกินคน ตนรับไม่ได้ต้องเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นศพผู้ตายจะเก็บไว้อย่างไม่มีกำหนดจนกว่าคดีจะชัดเจน
นอกจากนี้ภรรยาของผู้ตายกล่าวทิ้งท้ายว่า ซ้ำร้ายหลังสามีเสียชีวิต ทั้งที่เป็นเสาหลัก ยืนยันเป็นคนรักครอบครัว รักลูก แต่งงานอยู่กินกันมา 10 กว่าปี มีลูกชาย 2 คน คนโต 11 ขวบ คนเล็กขวบครึ่ง สามีทำงานรับผิดชอบทุกอย่างมาตลอด ไม่เคยมีประวัติในทางไม่ดี ทุกคนในหมู่บ้านรู้ ที่ทำงานก็รู้ เพราะทำงานเป็นพนักงาน อบต.มานาน มั่นใจสามีไม่มีส่วนเกี่ยวข้องยาเสพติด แต่การไปนั่งดื่มร่วมวงกับเพื่อนวัยรุ่นในหมู่บ้าน เพราะรู้จักคุ้นเคยกัน ไม่ได้สนใจใครเสพยา ยุ่งเกี่ยวยาเสพติด เพราะบริสุทธิ์ใจ ปกติเคยไปนั่งดื่มสังสรรค์เป็นธรรมดา มั่นใจคดีนี้มีเงื่อนงำ สามีถูกทำร้ายแน่นอน และเชื่อว่าจะต้องถูกทำร้ายช่วงเวลาที่ไล่ติดตามตัวจับกุม “ฝากตำรวจให้ออกมาชี้แจงรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะดีกว่า เมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องรับผิดชอบ มาถึงขนาดนี้ยังไม่กล้ารับความจริง อายประชาชน ทั้งที่เป็นผู้ดูแลประชาชน ยอมรับพอใจในการรับคดีของตำรวจ แต่เสียความรู้สึกต้องได้เรียกร้องให้ทำคดีมันเกินไป” น.ส.กนกพรกล่าว
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: