นครพนม – เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2561 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่ จ.นครพนม บรรยากาศสนามการเมือง เริ่มคึกคักหลังทางรัฐบาล มีการวางแนวทางในการเลือกตั้ง ชัดเจนมากขึ้น และมีการปลดล็อกทางการเมือง ทำให้ บรรดาอดีตนักการเมือง ในพื้นที่เริ่มเคลื่อนไหว ประกาศตัวเข้าไปสังกัดพรรคต่างๆ โดยพื้นที่ จ.นครพนม ถือเป็นพื้นที่สำคัญของภาคอีสาน ที่ต้องติดตามความเคลื่อนไหวทางการเมือง เนื่องจาก เคยเป็นฐานที่มั่นของ พรรคเพื่อไทย อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ สำคัญของ ดร.ไพจิต ศรีวรขาน อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย แชมป์หลายสมัย ซึ่งเป็นแกนนำ ส.ส.กลุ่มอีสานพัฒนา รวมไปถึง นายศุภชัย โพธิ์สุ อดีต ส.ส.นครพนม พรรคภูมิใจไทย ที่เคยมีดีกรีเป็นถึง ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ยังคงเป็นพรรคใหญ่ ที่มีการชิงพื้นที่มาหลายสมัยในการเลือกตั้งที่ผ่านมา และเชื่อว่าครั้ง นี้ จะมีการแข่งขันเข้มข้นมากขึ้น เนื่องจาก มีพรรคตัวแปรสำคัญ คือ พรรคพลังประชารัฐ ที่มีการเปิดตัวเป็นพรรคทางเลือก และมีการสร้างความเชื่อมั่น เรียกคะแนนนิยม ด้วยการ ดูด อดีต ส.ส.จากพรรคเพื่อไทย เข้ามาร่วมงาน
เช่นเดียวกันกับ นายแพทย์ อลงกต มณีกาศ อดีต ส.ส.ขวัญใจนครพนม ฉายาหมอขวัญใจคนยาก ที่เคยได้รับการเลือกตั้ง เป็น ส.ส.นคพนม สังกัดพรรค เพื่อแผ่นดิน เขต 2 นครพนม เมื่อปี 2549 หลังจากลาออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลอำเภอปลาปาก เข้าสู่เส้นทางการเมือง พอสมัยที่สอง ได้ลงสังกัด พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน เมื่อปี 2554 แต่สอบตก แต่ยังเดินหน้า ลงพื้นที่เก็บคะแนนนิยม กับชาวบ้าน มาต่อเนื่อง
ล่าสุดหลังรัฐบาลมีการประกาศให้มีการเลือกตั้ง ทำให้ นายแพทย์ อลงกต มณีกาศ อดีต ส.ส.ขวัญใจนครพนม ได้ออกมาประกาศตัวที่จะไปสังกัดพรรค พลังประชารัฐ เพื่อชิงคะแนนนิยมในพื้นที่ เขต 4 นครพนม ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของ ดร.ไพจิต ศรีวรขาน อดีต ส.ส.นครพนม เขต 4 พรรคเพื่อไทย ที่เป็นอดีต ส.ส.แชมป์ตลอดกาล และเป็นแกนนำคนสำคัญของ ส.ส.กลุ่มอีสานพัฒนา มาแต่อดีต ตั้งแต่ยุคพรรคความหวังใหม่ จนถึง พรรคไทยรักไทย และพรรคเพื่อไทย โดยทาง นายแพทย์ อลงกต มณีกาศ อดีต ส.ส.ขวัญใจนครพนม ยืนยันว่าไม่หนักใจ ในสนามเลือกตั้ง เขต 4 เพราะมีความมั่นใจในการทำงาน ดูแลชาวบ้านมาอย่างสม่ำเสมอ และไม่เคยกังวลเรื่องกระแสพรรค เพราะใช้คะแนนนิยมส่วนบุคคล ซึ่งการตัดสินใจไปสังกัดพรรคพลังประชารัฐ เพราะต้องการเดินทางสายกลาง แก้ความขัดแย้ง ให้ประเทศชาติพัฒนา เดินไปข้างหน้า
ข่าวน่าสนใจ:
- นครพนม : หมอสงค์ หมอผู้สร้าง เปิดตัวสมัครนายก อบจ.นครพนม พร้อม ส.อบจ.นครพนม
- นครพนม น้องขวัญ นำทัพกลุ่มนครพนมร่วมใจ เปิดตัว ส.อบจ.นครพนม ทั้ง 30 เขต
- นครพนม: เลขาธิการ ป.ป.ส. และ มทภ.2/ผบ.นบ.ยส.24 ประชุมสรุปผลรอบ 3 เดือน โชว์ผลงานยึดยาบ้ากว่า 45 ล้านเม็ด มูลค่ากว่า 3 พันล้านบาท
- มุกดาหาร แรลลี่ลุ่มน้ำโขง MEKONG CAR RALLY ท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดสนุก ปชส. จังหวัดทั้ง 3 รับนักท่องเที่ยวปีใหม่
นายแพทย์ อลงกต มณีกาศ อดีต ส.ส.ขวัญใจนครพนม พรรคเพื่อแผ่นดิน เปิดใจว่า หลังการปฏิวัติของ คณะ คสช.เข้ามาดูแลบริหารบ้านเมือง ถึงปัจจุบันตนมองว่า เป็นเวลานานพอสมควร และควรจะคืนอำนาจแก่ประชาชน หลังความขัดแย้งจบลง เพื่อให้บ้านเมืองเกิดการพัฒนา เพราะเชื่อว่ายื้อไว้มีแต่ผลเสีย ตามมา ส่วนเส้นทางการเมืองของตนหลังสอบตก เมื่อปี 2554 หลังเคยเป็น ส.ส.พรรคเพื่อแผ่น ดิน สมัยแรก และมาสังกัดพรรค ชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน สมัยที่ 2 แต่สอยตก จากนั้นไม่เคยไปสังกัดพรรคไหน แต่ยังคงทำงานการเมือง ดูแลชาวบ้าน มาตลอด เพราะมีใจรักที่อยากมีส่วนร่วมในการพัฒนา จนกระทั่งอยากวางแนวทางตัดสินใจ สังกัดพรรคสายกลาง มาลงตัวที่พรรคพลังประชารัฐ เพราะเชื่อมั่นว่า เป็นพรรคสายกลาง พรรคทางเลือก ที่จะทำให้บ้านเมือง เกิดความสงบสุข โดยก่อนนี้ ยอมรับเคยมีหลายพรรคมาจีบ ไปสังกัด แต่ตนไม่รับข้อเสนอ เพราะมองว่า ไม่ใช่ทางเลือกที่นำไปสู่ความสงบของบ้านเมือง ไม่ต้องการให้มีฝักมีฝ่าย มีการแบ่งแยกสี และอยากเข้าไปพัฒนาบ้านเมือง เพราะที่ผ่านมาประเทศไทย เดินถอยหลังมาหลายปี
หมอ อลงกต มณีกาศ กล่าวอีกว่า ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ไม่หนักใจ ในเรื่องของพื้นที่ ถึงแม้จะต้องชิงพื้นที่กับกระแสพรรคเพื่อไทย แต่ตนมั่นใจในคะแนนนิยมส่วนตัว เพราะที่ผ่านมาทำงานการเมือง ไม่เคยอิงกระแส พรรค ใช้คะแนนนิยมส่วนตัวล้วนๆ ที่สำคัญเชื่อมั่นในการเลือกตั้งครั้งนี้ จะไม่วุ่นวายหรือมีปัญหาเหมือนที่ผ่านมา เพราะกฎกติกา ระเบียบ ชัดเจนมากขึ้น คงไม่มีปัญหาเรื่องใส่ร้ายป้ายสี หรือการสร้างกระแส เรื่อง ฝักฝ่ายเรื่องสี และใช้วิธีการโจมตีให้ร้ายเพื่อดิสเครดิต ระหว่างคู่แข่ง จนเกิดความวุ่นวาย จึงอยากให้ บรรดานักการเมือง คิดใหม่ ควรทำงานการเมืองด้วยใจ และเป้าหมายคือการพัฒนา ดูแลชาวบ้าน เพราะหากทำไม่ได้ ความขัดแย้งไม่จบ
ทั้งนี้ หากมีการเลือกตั้ง ครั้งนี้ ตนมองว่า จะส่งผลดีต่อการพัฒนาประเทศ ประชาชน จะมีอำนาจสมบูรณ์แบบตามแนวทางประชาธิปไตย และเชื่อมั่นว่า จะต้องมีการเลือกตั้งแน่นอน เพราะหากไม่มีการเลือกตั้ง หรือมีการเลื่อน จะส่งผลกระทบต่อประเทศไทยหนัก ส่วนแนวทางการทำงานตนทีเป้าหมายมากที่สุด คือการพัฒนาด้านการศึกษา เพื่อนำมายกระดับอาชีพ รายได้ ของลูกหลานเยาวชน เพราะที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่ารัฐบาลไปให้ความสำคัญเรื่อง การพัฒนาการค้าเศรษฐกิจ แต่มองข้าว คุณภาพการศึกษา การสร้างอาชีพยั่งยืน เพราะลูกหลานเยาวชนทุกวันนี้จบการศึกษามาไม่มีงานทำ รายได้น้อย ต้องกลับไปหาทางแก้ไข วางเป้าหมายให้เยาวชนหลังจบการศึกษาจะต้องมีงานทำ และต้องเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตมากกว่า การพัฒนาเศรษฐกิจระดับประเทศ แต่ประชาชน ขาดการดูแลทั่วถึง ฝากรัฐบาลให้ความสำคัญ
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: