นครพนม – โจ๋รุมฟันหนุ่มพิการปางตาย เปิดปากถูกยั่วยุจากคู่กรณี ไม่รู้ว่าคนเจ็บไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง วัยรุ่นคู่ปรับยกพวกบุกสังเกตการณ์
จากกรณีมีกลุ่มวัยรุ่นบ้านโคกกุงหมู่ 3 ต.โพธิ์ตาก อ.เมือง จ.นครพนม ใช้อาวุธมีดรุมฟันนายจีระวัฒน์ ไพรี หรือบูม อายุ 17 ปี หนุ่มพิการครึ่งซีกจนบาดเจ็บสาหัส โดยน้องบูมปัจจุบันกำลังเรียนระดับ ปวช.3 วิทยาลัยเทคโนโลยี ไทย-อินโดจีน นครพนม ด้วยการขายนมเปรี้ยวบริเวณสี่แยกไฟแดงบ้านน้อยหนองเค็ม เขตเทศบาลเมืองนครพนม เพื่อเป็นทุนในการศึกษา เนื่องจากพ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่อายุ 7 ขวบ จึงพักอาศัยอยู่กับปู่และย่าที่บ้านเลขที่ 140 หมู่ 8 บ้านคำธาตุ ต.หนองญาติ อ.เมือง จ.นครพนม เหตุเกิดเมื่อคืนวันที่ 24 ธันวาคมที่ผ่านมา
โดยมูลเหตุเกิดจากมีทหารเกณฑ์ซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นพี่ อยู่บ้านคำธาตุแต่ได้เมียเป็นคนบ้านโคกกุง ชวนไปบ้านโคกกุงเพื่อเคลียร์ปัญหากับวัยรุ่นที่มีเรื่องบาดหมางกันมาก่อนหน้านี้ น้องบอกว่าไม่อยากไปเพื่อนรุ่นพี่จึงขอยืมรถ จยย. แต่น้องเป็นคนหวงรถมากจึงอาสาจะพาไปส่ง มาถึงทางขึ้นเนินบริเวณ อบต.โพธิ์ตาก ปรากฏว่ามีกลุ่มคนไม่ทราบจำนวนออกจากมาจากที่มืดรุมทำร้าย ส่วนเพื่อนรุ่นพี่เผ่นหนีเอาตัวรอดเพียงคนเดียว โดยน้องบูมถูกฟันและตีจนสลบอยู่ข้างทาง พอได้สติก็คลานออกมาขอความช่วยเหลือจากชาวบ้านที่อยู่บริเวณนั้น ตามที่เสนอข่าวไปแล้ว
ข่าวน่าสนใจ:
- นครพนม : หมอสงค์ หมอผู้สร้าง เปิดตัวสมัครนายก อบจ.นครพนม พร้อม ส.อบจ.นครพนม
- มุกดาหาร แรลลี่ลุ่มน้ำโขง MEKONG CAR RALLY ท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดสนุก ปชส. จังหวัดทั้ง 3 รับนักท่องเที่ยวปีใหม่
- นครพนมคึกคัก! เปิดศึกเลือกตั้ง อบจ. วันแรก “ศุภพานี-ประสงค์” ชิงชัย พร้อมนโยบายพัฒนาท้องถิ่น
- ตำรวจนครพนมทลายขบวนการค้ายาเสพติด ยึดยาบ้า 2 ล้านเม็ด ไอซ์ 46 กก. ผู้ต้องหา 4 ราย รับจ้างข้ามชาติ
ล่าสุด วันที่ 26 ธันวาคม 2564 ผู้สื่อข่าวเดินทางไปยังจุดที่น้องบูมถูกทำร้าย พบว่าห่างจาก อบต.โพธิ์ตากไม่กี่เมตรเท่านั้น และบริเวณดังกล่าวก็อยู่ในชุมชนบ้านโคกกุงหมู่ 3 ทราบจากคำบอกเล่าของนางคำพา อ่อนทา ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ 3 ว่า คืนในวันเกิดเหตุเป็นเวลาประมาณตีหนึ่งย่างเข้าสู่วันที่ 25 ธันวาคม ได้ยินเสียงรถ จยย.ขับไล่กันและมีคนร้องเอะอะโวยวาย จากนั้นก็ได้ยินการต่อสู้ทำร้ายกัน ตนออกมาดูไม่พบใครแล้วมีแต่รถ จยย.ล้มอยู่ 1 คัน เดินเข้าไปดูก็ไม่เห็นคน นึกว่าคงวิ่งหนีเตลิดเปิดเปิงกันหมด ขณะที่ตนจะเดินเข้าบ้านก็ได้ยินเสียงคนขอความช่วยเหลือดังจากใต้ต้นมะม่วง ห่างจากรถ จยย.ที่ล้มประมาณ 15 เมตร พบว่าเป็นชายมีสภาพเลือดท่วมตัวจึงแจ้งรถกู้ชีพ อบต.โพธิ์ตาก นำร่างคนเจ็บส่ง รพ.นครพนม
ขณะเดียวกันนายบุญอุ้มและนางพรทิพย์สองสามีภรรยาอาชีพขายของตลาดโต้รุ่งในเขตเทศบาลเมืองนครพนม ได้เปิดเผยว่ากลุ่มวัยรุ่นบ้านโคกกุงจะมีคู่กรณีกับกลุ่มวัยรุ่นบ้านเหล่าคำธาตุเสมอ มักจะมีเรื่องชกต่อยกันประจำ ซึ่งช่วงเลือกตั้ง อบต.จะมีวัยรุ่นไม่ทราบอยู่บ้านไหน จะขับรถ จยย.มาเป็นขบวนแล้วเบิ้ลเครื่องเสียงดังในยามวิกาลเสมอ บางครั้งก็ได้ยินคล้ายเสียงเหมือนระเบิดหรือปืน จึงเป็นที่เอือมระอาของชาวบ้านโคกกุงมาถึงทุกวันนี้
ต่อมาในช่วงบ่ายของวันที่ 26 ธันวาคม ได้มีการนัดญาติของผู้เสียหายและคู่กรณีมาเจรจากันที่บ้านของนางกรรญา พลอุ่น ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 3 บ้านโคกกุง โดยฝ่ายผู้เสียหายประกอบด้วยนายประดิษฐ์ ไพรี อายุ 71 ปีผู้เป็นปู่ นายสุชาติ ก้อนเงิน อายุ 41 ปี ผู้มีศักดิ์เป็นพ่อเลี้ยง และ น.ส.น้ำผึ้ง อินจารย์ อายุ 30 ปี ผู้เป็นน้าสาวของน้องบูม ขณะที่ทางฝ่ายคู่กรณีมีญาติๆมาร่วมเจรจากัน ทั้งนี้ ร.ต.อ.ศักดา ต้นจันทน์ รอง สวป.สภ.เมืองนครพนม ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาเข้ามาพูดในด้านข้อกฎหมาย เดิมทีมีเพียงนายออฟ (นามสมมุติ) อายุ 18 ปีผู้มีส่วนร่วมในการทำร้ายน้องบูมมาให้รายละเอียดเพียงคนเดียว โดยอ้างว่าผู้ที่รุมทำร้ายน้องบูมนอกจากตนแล้วยังมีนายบาส (นามสมมุติ) และนายกาย (นามสมมุติ) อายุ 15 ปีซึ่งเป็นคนเดียวที่ใช้มีดขอฟันน้องบูมจนบาดเจ็บสาหัส รวมผู้รุมทำร้ายมีเพียง 3 คนเท่านั้น ร.ต.อ.ศักดาฯจึงให้แง่คิดในด้านกฎหมายให้ผู้ปกครองนำนายบาสและนายกายมามอบตัวเพราะจะเป็นผลดีต่อรูปคดี ญาติจึงไปนำตัวนายบาสจากบ้านมาอีกคน ส่วนนายกายมือมีดญาติอ้างได้หลบหนีไปก่อนหน้านี้แล้ว
นายออฟเล่าเหตุการณ์ว่า มีเรื่องบาดหมางกับกลุ่มวัยรุ่นบ้านเหล่าคำธาตุมานาน จึงมักจะนัดกันไปชกต่อยกันเสมอ โดยกลุ่มบ้านเหล่าคำธาตุจะขนพวกมาไม่น้อยกว่า 30-50 คน ขับ จยย.เข้ามาส่งเสียงรำคาญในยามวิกาลที่หมู่บ้านตนประจำ ก่อนเกิดเหตุกลุ่มวัยรุ่นบ้านเหล่าคำธาตุส่งข้อความให้ออกไปตีกันที่สะพานข้ามห้วยบ้านสุขเกษม ซึ่งเป็นหมู่บ้านคั่นกลางระหว่างบ้านโคกกุงกับบ้านเหล่า แต่ตนตอบกลับให้เข้ามาในหมู่บ้านโคกกุงเลย จึงชวนนายบาสและนายกายไปดักซุ่มอยู่ริมถนน ไม่นานก็จะมี จยย.วัยรุ่นคู่กรณีขับเข้ามา 2 คัน ตนเห็นจำได้ว่าเป็นคู่อริจึงขับ จยย.ไล่ตาม ปรากฏว่า จยย.คันหนึ่งวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว เหลืออีกคันที่คงไม่รู้จักทางจึงขับเข้าไปในเขตรั้วบ้านคนอื่น ตนกับพวกรวม 3 คนก็ไล่หลังไปทำให้รถคู่กรณีตกหลุมล้มลง คนซ้อนท้ายวิ่งหลบหนีไปกับความมืดจึงเหลือเพียงคนเดียว ตนจอดรถก็คว้าคอเสื้อชกไปที่ใบหน้า 2-3 ครั้ง ขณะเดียวกันนายกายก็ใช้อาวุธมีดขอที่ติดตัวมาฟันไปที่ร่างของคู่กรณีหลายครั้งจนสลบ จากนั้นก็ไปทุบทำลายรถ จยย.ก่อนจะแยกย้ายกันหลบหนี มาทราบภายหลังว่าชายที่ถูกทำร้ายเป็นคนพิการ ด้านทหารเกณฑ์รุ่นพี่อ้างว่าไม่มีส่วนรู้เห็นการทะเลาะเบาะแว้งของวัยรุ่นสองหมู่บ้าน แค่วานน้องบูมมาส่งที่บ้านเมียเท่านั้น ก็คนถามขึ้นมาว่าบ้านเมียอยู่เหนือหมู่บ้านแล้วเข้ามาทำไมในหมู่บ้าน ทหารเกณฑ์ตอบว่ามาซื้อบุหรี่ คนที่ถามก็พูดขึ้นว่าซื้อบุหรี่ตอนตีหนึ่งนี่นะร้านปิดตั้งแต่สามทุ่มแล้ว ทหารเกณฑ์ตอบเผื่อฟลุ๊ค
นอกจากนี้นายออฟได้เล่าต่อว่า หลังเกิดเรื่องในวันต่อมากลุ่มคู่กรณีก็ยังยกพวกมาดักรอทำร้ายพวกตนอยู่ที่สะพานข้ามห้วย และระหว่างที่นายออฟเล่าเหตุการณ์ก็มีกลุ่มวัยรุ่นทั้งผู้ชายและหญิงจากบ้านเหล่ามาร่วมสังเกตการณ์ด้วยและถ่ายคลิปไว้ จึงถูกเจ้าหน้าที่ห้ามบันทึกภาพใด ๆ ไว้ เกรงจะบานปลายกลายเป็นประเด็นเพิ่มขึ้นมาอีก พร้อมให้ญาติของนายกายมือมีดนำตัวไปพบพนักงานสอบสวนภายในวันพรุ่งนี้ มิฉะนั้นจะออกหมายจับ ส่วนอาการของน้องบูมมีบาดแผลขนาดใหญ่อยู่ที่สะโพก ขาขวาใต้เข่าหัก มีอาการดีขึ้นเล็กน้อย แต่ยังอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากแผลที่สะโพกเปิดลึกกว้างจนไม่สามารถเย็บได้
นายประดิษฐ์ ไพรี อายุ 71 ปี นางอินทร์กอง ไพรี อายุ 66 ปี ซึ่งเป็นปู่และย่าเล่าว่าได้เลี้ยงดูน้องบูมมาตั้งแต่อายุ 7 ขวบกระทั่งถึงปัจจุบัน เดิมน้องบูมก็มีร่างกายปกติแต่ตอนที่น้องบูมเรียนชั้น ป.2 โรงเรียนในเขตเทศบาลเมืองนครพนม น้องนั่งรถรับ-ส่งไปเรียนทุกวัน วันหนึ่งหลังเลิกเรียนก็นั่งรถรับ-ส่งกลับบ้าน พอลงจากรถก็วิ่งข้ามถนนโดยไม่ทันระวังจึงถูกรถยนต์พุ่งชนจนต้องผ่าตัดสมองนอนรักษาตัวอยู่ รพ.นครพนมนานถึง 26 วัน จากนั้นร่างกายซีกซ้ายก็พิการแต่บัดนั้นมา แต่น้องรักการเรียนจึงดิ้นรนหาเงินเป็นทุนในการศึกษาด้วยการขายนมเปรี้ยวบริเวณสี่แยกไฟแดงบ้านน้อยหนองเค็ม เขตเทศบาลเมืองนครพนม ปัจจุบันเรียนระดับชั้น ปวช.3
นอกจากนี้นางอินทร์กองได้ฝากเรื่องราวนี้ ส่งไปยังนายถวิล ไพรี ลูกชายซึ่งเป็นพ่อแท้ ๆ ของน้องบูมที่ไปทำงานเกษตรอยู่ประเทศอิสราเอลนานกว่า 6 ปี โดยไม่ส่งข่าวคราวให้ทางบ้านทราบเลย ว่า หากดูข่าวนี้อยู่ให้กลับบ้านมาดูแลครอบครัว เพราะพ่อแม่ก็แก่ตัวลงไปทุกวัน ขณะที่พูดนางอินทร์กองหลั่งน้ำตาออกมาเพราะความคิดถึงลูกชาย
ทวี อภิสกุลชาติ ข่าว/ภาพ
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: