นครพนมป่วยใหม่จิ๊บจ๊อย 11 ราย ยอดหายป่วยกลับบ้านมากกว่าพบเชื้อ หมอรามาเผยโควิดใกล้อวสาน เงื่อนไขสำคัญคัญคือต้องฉีดวัคซีน
วันที่ 18 มกราคม 2565 ทีมตระหนักรู้สถานการณ์ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม รายงานเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน ว่า มีผู้ป่วยเพิ่ม 11 ราย เป็นติดเชื้อในพื้นที่ 9 ราย ติดเชื้อนอกพื้นที่เดินทางมาจาก กทม. 2 ราย รวมป่วยสะสมตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมเป็นต้นมา 601 ราย หายป่วยกลับบ้านวันนี้ 49 รายถือเป็นยอดหายป่วยมากกว่าพบผู้ติดเชื้อใหม่รายวัน โดยกำลังรักษา 389 ราย และไม่มีผู้เสียชีวิต
ข่าวน่าสนใจ:
- ฝ่ายปกครอง อ.ปลาปากสนธิกำลังตร .บุกรวบหนุ่ม 20 ขาใหญ่ จำหน่ายยาบ้า โดดหลังบ้าน คว้ามีดพร้าเปิดทาง หลบหนีไปไม่รอด
- ขอนแก่นเข้มต่อเนื่อง!!เปิดปฏิบัติการกวาดล้างยาเสพติด รวบคู่รักนักค้ายา หลังฝ่ายชายเพิ่งพ้นโทษจากเรือนจำ
- สุราษฎร์ ฯ อ่วม ฝนตกหนักตลอดทั้งคืน จนท.เร่งช่วยเหลือประกาศภัยพิบัติเพิ่มเป็น 8 อำเภอ เสียชีวิตแล้ว 2 ราย
- ปราจีนบุรี สลดหนุ่ม 45 ถูกช้างป่าอ่างฤาไนทำร้ายเสียชีวิต
ทั้งนี้ การมีผู้หายป่วยจากเชื้อโควิดมากกว่าผู้ป่วยยืนยันผล ไม่แตกต่างไปจากจังหวัดอื่นๆ โดยสถานการณ์โควิดในประเทศไทย พบผู้ป่วยติดเชื้อเพิ่ม 6,397 ราย หายป่วย 6,637 ราย เสียชีวิต 18 ราย เท่ากับว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 ใกล้คงตอนอวสาน สอดคล้องกับศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทย์ศาสตร์ รพ.รามาธิบดี โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก “Center for Medical Genomics” ถึงสถานการณ์แพร่ระบาดของโอมิครอนครอง กทม. และปริมณฑล แทนที่เดลต้า จะเป็นตัวปิดเกม ทำให้โควิด-19 กลายเป็นโรคประจำถิ่น โดยระบุว่า
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ฯ ตรวจสายพันธุ์ไวรัสโคโรนา 2019 จาก รพ. รัฐ และ เอกชน ใน กรุงเทพ และปริมณฑล ระหว่างวันที่ 3-16 มค 2565 พบโอมิครอน 97.1% (69/71) เดลตา 2.8% (2/71) ตัวอย่างสุ่มตรวจจากเรือนจำ เดลตา 100% (30/30) อันหมายถึงในกรุงเทพ หากไม่นับในเรือนจำ “โอมิครอน” น่าจะเข้ามาแทนที่ “เดลตา” เกือบหมดแล้ว “Twindemic” หรือการติดเชื้อสองสายพันธุ์ ระหว่าง “โอมิครอน” และ “เดลตา” ไปพร้อมกันในระยะเวลาสั้นๆได้จบลงแล้ว ไม่นาน “โอมิครอน”คงจะกระจายไปทั่วประเทศ ไม่ช้าคงเป็นตามที่ ดร. แอนโธนี เฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคติดต่อและภูมิแพ้แห่งชาติของสหรัฐ ซึ่งเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคนสำคัญในคณะทำงานเพื่อต่อสู้กับการแพร่ระบาดใหญ่ของไวรัสโควิด-19ของรัฐบาลสหรัฐ ได้เตือนว่า “ในที่สุดแทบทุกคนจะติดเชื้อไวรัส โอมิครอน” (เช่นเดียวกับไข้หวัดใหญ่ที่คนส่วนใหญ่บนโลกได้เคยติดเชื้อกันแล้ว) จากนั้นทั้งภูมิคุ้มกันจากวัคซีนและจากการติดเชื้อตามธรรมชาติจะพุ่งขึ้นสูง ลดความรุนแรงของโรคโควิด-19 และลดอัตราการเสียชีวิตลงอย่างรวดเร็ว เห็นปรากฏการนี้ได้อย่างชัดเจนจากข้อมูลผู้ติดเชื้อรายใหม่และผู้เสียชีวิตทั่วโลกจาก “โอมิครอน”
ผู้ติดเชื้อรายใหม่ในแอฟริกาใต้ลดลงจนเข้าสู่สภาวะปรกติ ในขณะที่ผู้เสียชีวิตไม่มาก มีประชากรติดเชื้อไวรัสจากธรรมชาติเป็นจำนวนมาก
ผู้ติดเชื้อรายใหม่ในอังกฤษเริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ผู้เสียชีวิตไม่มาก อังกฤษใช้วัคซีนไวรัสเป็นพาหะ และเข็มกระตุ้นเป็นวัคซีนสารพันธุกรรม (mRNA)
ผู้ติดเชื้อรายใหม่ในอเมริกา ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าใกล้ถึงจุดสูงสุดใน 1-2 อาทิตย์ข้างหน้าในขณะที่ผู้เสียชีวิตไม่มาก อเมริกาใช้วัคซีน mRNA เป็นวัคซีนนำสองเข็มแรก และใช้เป็นเข็มกระตุ้นด้วย
ประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกับประเทศไทย รวมทั้งอิหร่าน ที่มีการติดเชื้อจากธรรมชาติในอัตราสูงนำมาก่อน ก่อนจะมารับวัคซีนเชื้อตาย และสลับมารับวัคซีนที่ใช้ไวรัสเป็นพาหะ และ/หรือ วัคซีน mRNA เป็นเข็มกระตุ้น พบว่าได้ผลดีมาก มีผู้ติดเชื้อรายใหม่จากโอมิครอนและผู้เสียชีวิตต่ำ
ประเทศไทย มีการติดเชื้อจากธรรมชาติไม่มาก ได้รับวัคซีนเชื้อตาย และสลับมารับวัคซีนที่ใช้ไวรัสเป็นพาหะ และ/หรือ วัคซีน mRNA เป็นเข็มกระตุ้น ได้ผลดีเช่นกัน แม้จะเห็นผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงแรก แต่ขณะouhเริ่มคงตัวและเริ่มลดระดับลง (จากโอมิครอน) แต่ผู้เสียชีวิตลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง
และหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไวรัสโคโรนา 2019 คงจะจบเกม (End game) กลายเป็นโรคประจำถิ่น (Endemic) เหมือนไข้หวัดใหญ่ ซึ่งมาตามฤดูกาล โดยมีผู้เสียชีวิตประมาณร้อยละ 0.1
เงื่อนไขสำคัญที่จะเร่งให้โควิด-19 กลายเป็นโรคประจำถิ่นได้ภายในปีนี้คือการฉีดวัคซีนให้กับประชากรในทุกประเทศทั่วโลก โดยองค์การอนามัยโลกเรียกร้องให้ผู้นำโลกช่วยบรรดาประเทศที่กำลังพัฒนาดำเนินการฉีดวัคซีนอย่างน้อยร้อยละ 70 ของประชากรโลก เพื่อทั้งป้องกันหรือชะลอการป่วยหนัก และเสียชีวิต มิให้เกิดกับประชาชนหมู่มากพร้อมๆกันอันจะทำให้ระบบสาธารณสุขของประเทศเหล่านั้นล่มสะลาย รวมถึงเป็นการป้องกันการเกิดไวรัสกลายพันธุ์อย่างในกรณีของสายพันธุ์ “อัลฟา” “เบตา” และ “โอมิครอน” หรือสายพันธุ์อื่นที่อาจอุบัติขึ้นในอนาคต จากกลุ่มประชากรที่ไม่ได้รับวัคซีน
ทั้งนี้ เป็นการคาดคะเนโดยอาศัยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์จาก 3 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามโรคโควิด-19 ยังถือว่าเป็นโรคติดต่ออุบัติใหม่ ที่เรายังไม่เข้าใจธรรมชาติของการเกิดโรคอย่างถ่องแท้ การคาดคะเนถึงเหตุการณ์ในอนาคตของโรคนี้อาจมีความคลาดเคลื่อนได้ ดังนั้นต้องไม่ประมาทการ์ดหรือมาตรการต่างๆที่เราร่วมปฏิบัติกันมาอย่างเข้มข้นต้องไม่ลดหย่อน
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: