“สนธิรัตน์” ปักหลักพื้นที่นครพนมเป็นวันที่สอง หนุนสานต่อโรงไฟฟ้าชุมชน มั่นใจทำรายได้ปีละ 30 ล้าน/แห่ง เชื่อมโยงหนุนเกษตรกรปลูกหญ้าเนเปียร์ ลดต้นทุนการเกษตรอาหารสัตว์ ใช้เป็นพลังงานทดแทน
วันที่ 24 มกราคม 2565 ณ วิจัยพัฒนาพันธุ์สัตว์ อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ,อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะกลุ่ม 4 กุมาร พร้อมด้วย นายสุพล ฟองงาม อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ และนายวัชระ กรรณิการ์ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคสร้างอนาคตไทย ยังคงปักหลักอยู่ในพื้นที่จังหวัดนครพนมเป็นวันที่สอง เพื่อพบปะหารือภาคประชาชน ภาคเอกชน และหน่วยงานภาครัฐ ตลอดจนเครือข่ายกลุ่มสร้างอนาคตไทยภาคอีสาน
การลงลงพื้นที่ อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม ในครั้งนี้ ก็ได้พบปะผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าชุมชน ตัวแทนวิสาหกิจชุมชนปลูกพืชพลังงาน พร้อมรับทราบปัญหาเกี่ยวกับการพัฒนาส่งเสริม ซึ่งนายสนธิรัตน์พร้อมผลักดันเป็นหนึ่งนโยบายพรรค สานต่อโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน ซึ่งได้มีการผลักดันในช่วงมีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่จะเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากให้ชุมชนเข้มแข็ง ทั้งนี้ได้นำร่องผลักดันโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนกว่า 100 แห่งทั้งประเทศ ในส่วนของ จ.นครพนม ได้ 4 แห่ง งบประมาณแห่งละ 300 ล้านบาท คาดเปิดใช้งานเดินเครื่องในปี 2566
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีต เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า โครงการโรงไฟฟ้าชุมชน เป็นหนึ่งในนโยบายที่ได้ขับเคลื่อนในสมัยที่ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ด้วยแนวคิด Energy For All เพื่อให้ประชาชนทุกคนได้เข้าถึงพลังงานทั้งการมีพลังงานใช้ และเป็นได้ทั้งเจ้าของธุรกิจพลังงาน ลบภาพกลุ่มทุนผูกขาดธุรกิจพลังงาน การมาพบปะกลุ่มผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าชุมชน และตัวแทนวิสาหกิจชุมชนปลูกพืชพลังงานในครั้งนี้ เพื่อเป็นการติดตามความก้าวหน้าของนโยบายที่ทางกระทรวงพลังงานได้สานต่อ พร้อมรับฟังความคิดเห็น ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินโครงการ เพื่อนำไปกลั่นกรองเป็นข้อมูลในการกำหนดเป็นนโยบายพรรคสร้างอนาคตไทยที่เป็นรูปธรรม เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนทุกคนอย่างแท้จริง
นายสนธิรัตน์กล่าวอีกว่า โดยวันนี้ได้รับการต้อนรับจากกลุ่มบริษัท ศรีโคตรบูรณ์ BCG มี คุณวิชวินท์ ศรีสุชัยจันทร์ และคุณสายทิพย์ แสงสิงห์แก้ว บริษัท ไบโอ-แพลนท์ส รอว์ แม็ททีเรียล จำกัด ซึ่งดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนในจังหวัดนครพนม ได้รับมอบหมายให้บริหารจัดการด้านเชื้อเพลิงร่วมกับชุมชนและการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน โดยมีสถานะเป็นวิสาหกิจชุมชนเพื่อสังคม
ทั้งนี้ได้นำร่องปลูกพืชพลังงานร่วมกับชุมชน 4 แห่ง ได้แก่ อำเภอเมืองฯ,นาทม,ท่าอุเทน และธาตุพนม โดยถือเป็นโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนที่ตรงตามนโยบายแนวคิดภายใต้ นโยบาย Energy For All ใช้งบก่อสร้างแห่งละประมาณ 300 ล้านบาท ซึ่งจะสร้างรายได้ให้กับวิสาหกิจชุมชนในจังหวัดนครพนม 4 แห่ง กว่า 800 ครัวเรือน จากการขายเชื้อเพลิงพืชพลังงานประมาณ 25-30 ล้านบาทต่อปี ได้รับหุ้นจากโรงไฟฟ้า 10% ซึ่งจะได้ส่วนแบ่งผลประกอบการตามสัดส่วนหุ้น 4% ทุกปี คิดเป็นรายได้สู่ชุมชนประมาณประมาณ 0.6-1 ล้านบาทต่อปี รวมถึงการเปลี่ยนแปลงวิถีเกษตรกรดั้งเดิมไปสู่การเป็น Smart Farmer และ Human Capital เกิดการสร้างงานสร้างอาชีพในพื้นที่ ซึ่งในอนาคตจะมีการสร้างเป็นศูนย์การเรียนรู้เพื่อต่อยอดไปสู่ชุมชนในจังหวัดอื่น ๆ ทั่วประเทศต่อไป
“..ตั้งใจให้เป็นโครงการสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้กับพี่น้องประชาชน วันนี้มาติดตามดูผลของการเกิดโรงไฟฟ้าชุมชนว่าโครงการสามารถสร้างรายได้ให้กับพี่น้องประชาชนในการปลูกพืชพลังงาน ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างรายได้จากการปลูกพืชพลังงานแต่ยังขยายผลจากการนำพืชพลังงานไปสร้างรายได้เพิ่ม ซึ่งจะเห็นว่ามีความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน เช่น กรมปศุสัตว์ และ NIA ที่มีงานนำหญ้าเนเปียร์มาพัฒนาเป็นอาหารสัตว์ มีการนำมูลสัตว์มาผสมกับหญ้าแล้วอบแห้งเป็นปุ๋ย หรือแม้แต่หญ้าเนเปียร์ที่แก่แล้ว เป็นอาหารสัตว์ไม่ได้ก็นำไปทำเป็นถ่านที่เรียกว่าไบโอชาร์ใช้ในการปรับปรุงดินแทนสารเคมี ซึ่งผมก็มาดูในสิ่งที่ผมได้ริเริ่มเอาไว้ และจะนำสิ่งเหล่านี้ไปเป็นแนวทางในการทำเป็นนโยบายพรรคในการหาเสียงต่อไป เพราะโครงการนี้จะเป็นโครงการที่สร้างความยั่งยืนให้พี่น้องประชาชนฐานรากตามเป้าหมายโครงการ ก่อเกิดวิสาหกิจชุมชน ก่อเกิดความร่วมมือของเกษตรกร ผู้ประกอบการโรงไฟฟ้า และภาครัฐที่เข้ามาร่วมกันได้ ที่สำคัญยังช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมด้วย”
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: