จากกรณีข่าวของนายพัฒนายุทธ ต้อนโสกรี หรือท่า อายุ 40 ปี หนึ่งในแรงงานไทยที่ถูกกลุ่มฮามาสจับเป็นตัวประกันที่เมืองโมชาฟ-คิบบุตซ์ ชุมชนเกษตรในอิสราเอล จนเกิดกระแสข่าวว่านายพัฒนายุทธได้ถูกกลุ่มฮามาสทำร้ายจนเสียชีวิต ทำให้นางราตรี เหลินต้ายซ้าย อายุ 47 ปี ภรรยาและครอบครัวของนายพัฒนายุทธ ถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับนับตั้งแต่ทราบข่าวการหายตัวตั้งแต่ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2566 เป็นต้นมา
ล่าสุด เมื่อวันที่ 29 พ.ย.66 ได้มีการปล่อยตัวประกันอีก 12 คนโดยมี แรงงานไทยสองคนรวมอยู่ด้วย คือนายพัฒนายุทธ ต้อนโสกรี ชาวนครพนม และนายโอวาส สุริยะศรี ชาวจังหวัดศรีสะเกษ ผู้สื่อข่าวจึงได้ลงพื้นที่ ไปยังบ้านของ นางราตรี ภรรยาของนายพัฒนายุทธ ซึ่งอยู่ที่บ้านเลขที่ 51 ม.2 บ้านนาลัอม ต.นาหัวบ่อ อ.โพนสวรรค์ หลังจากได้ทราบข่าวการปล่อยตัวของกลุ่มฮามาส ซึ่งนางราตรีอยู่ในอาการดีใจ สุดๆหน้าสดใสสดชื่นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าเมื่อเจอสามีจะทำอย่างไร นางราตรีกล่าวว่า ตนจะขอกอดกับสามีให้หายคิดถึงสิ่งแรกที่จะทำ และวันนี้ดีใจอย่างที่สุดที่จะได้เจอสามีในเร็วๆ นี้ พร้อมทั้งกล่าวขอบคุณทุกหน่วยงานของรัฐและสื่อมวลชนที่ช่วยติดตามข่าวและติดตามสามีได้ในที่สุด
ผู้สื่อข่าวได้สอบถาม นางราตรี ว่ามีโอกาสติดต่อพูดคุยกับ นายพัฒนายุทธ สามี ตั้งแต่ได้รับการปล่อยตัวออกมาบ้างแล้วหรือไม่ ซึ่งนางราตรี กล่าวว่าตนได้วีดีโอคอลคุยกับสามีเมื่อเช้าวันนี้ โดยนายพัฒนายุทธมีสีหน้าสดชื่น ต่างพูดคุยสอบถามเรื่องต่างราวต่างๆด้วยความห่วงใย และนายพัฒนายุทธได้เล่าว่า ขณะนี้ต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ที่ โรงพยาบาลในอิสราเอลก่อนระยะหนึ่ง เพราะมีอาการบาดเจ็บที่ชายโครงจากด้ามปืนของกลุ่มฮามาสกระแทกบริเวณดังกล่าวในวันแรกที่บุกเข้ามาจับตนเป็นตัวประกัน คาดว่าจะได้กลับมาบ้านในไม่ช้านี้
เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามว่า หลังจากที่สามีกลับมาจะให้กลับไปทำงานเมื่อสถานการณ์สงบอีกหรือไม่ ซึ่งนางราตรีกล่าวตอบในทันทีว่าจะไม่ใหัสามีตนกลับไปทำงานที่อิสราเอลอีก แม้จะเหลือสัญญาอีกถึง 2 ปี ก็ตาม อยากให้หางานทำอยู่บ้าน ไม่อยากตกอยู่ในสภาพอย่างที่ผ่านมาอีก
คุณยายประดับ เหลินต้ายซ้าย อายุ 75 ปี ซึ่งเป็นแม่ยายของ นายพัฒนายุทธ กล่าวด้วยอาการตื้นตันใจด้วยความดีใจ เมื่อลูกเขยกลับมาตนและญาติๆ จะทำพิธีบายศรีสู่ขวัญรับลูกเขย เพราะที่ผ่านมาลูกเขยคนนี้ขยันขันแข็งเป็นเสาหลักให้ครอบครัวมาโดยตลอด ดีใจมากที่ครอบครัวก็จะได้กลับมาพร้อมหน้าพร้อมตากันอีกในไม่ช้านี้
